วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2558

พฤติกรรมการตรงต่อเวลา สร้างได้

การตรงต่อเวลา เป็นพฤติกรรมที่ดีที่ทุกคนควรมี ไม่ว่าจะเป็น การประชุม การนัดหมาย การติดต่อกับผู้อื่น เพราะมันเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจของเราที่มีต่อเรื่องนั้นๆ และยังเป็นการให้เกียรติผู้อื่นอีกด้วย ยิ่งถ้าเป็นการนัดหมายกับผู้อาวุโส ยิ่งต้องให้ความสำคัญอย่างมาก

การตรงต่อเวลา เป็นพฤติกรรมที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ หากเรามีการฝึกฝน ทำอย่างสม่ำเสมอ และเอาจริงเอาจัง โดยวิธีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ให้เป็นคนตรงต่อเวลา สามารถทำได้ ดังนี้
1. ตื่นนอนตามเวลาที่ตั้งไว้  หลายท่านนิยมที่จะตั้งนาฬิกาให้เวลาปลุกล่วงหน้า 10-15 นาที โดยตั้งใจว่าหากกดนาฬิกาปลุกแล้วจะนอนต่อสักครู่ สิ่งนี้เป็นการสร้างนิสัยที่ไม่ดี และจะส่งผลให้คุณสายเสมอ ลองเปลี่ยนวิธีการโดยการตั้งนาฬิกาปลุกตามเวลาที่ต้องการ และตื่นทันทีเมื่อได้ยินเสียงนาฬิกาปลุก หากทำแบบนี้แล้วยังสายอยู่ ก็ลองเปลี่ยนเวลาตื่นนอนเร็วขึ้น จะได้มีเวลามากขึ้น ก็จะช่วยให้เราไม่สายอีกต่อไป
2. รวมเวลานัดหมายต่างๆไว้ที่เดียวกัน สิ่งนี้จะช่วยลดปัญหาการนัดเวลาซ้อนกัน การลืมเวลานัดหมายลงได้ และการทำเช่นนี้ยังทำให้เราสามารถวางแผน บริหารเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. สร้างตารางนัดหมายใน Smartphone ช่วยได้ ในปัจจุบันโทรศัพท์ Smartphone กลายเป็นปัจจัยในการดำรงชีวิตที่สำคัญ ติดตัวเราไปทุกที ดังนั้นการสร้างตารางนัดหมายอิเลคทรอนิกส์ จะช่วยให้เราไม่พลาดนัดที่สำคัญต่างๆ เพราะจะมีการแจ้งเตือนล่วงหน้าก่อนถึงเวลานัด ทำให้เราสามารถจัดการกับเวลานัดหมายได้อย่างดี
 4. ดูตารางเวลาล่วงหน้า หากเราใช้เวลาสักครู่ในการดูตารางเวลาของวันรุ่งขึ้นว่ามีแผนอย่างไรบ้าง จะช่วยให้เราวางแผนเวลาได้อย่างดี
5. การนัดเวลา ควรเผื่อเวลาด้วย บางคนจะชอบนัดเวลาต่อๆกันทันที เช่น ประชุมเรื่อง A เวลา 9.00-10.00น. ที่ตึก D แล้วนัดประชุมเรื่อง B เวลา 10.00-11.00น. ที่ตึก C จากตัวอย่างนี้ควรจะมีการเผื่อเวลาในการเดินทางประมาณ 10-15 นาทีด้วย หากเราเข้าประชุมไม่ตรงต่อเวลา อาจทำให้ผู้ร่วมประชุมคนอื่นไม่พอใจ และแสดงถึงการไม่ใส่ในในการประชุมนั้น เพราะไม่มีใครว่าคุณเพิ่งจะจบการประชุม A มาและรีบมาที่สุดแล้ว การเผื่อเวลานัดนั้นหากเราเป็นผู้นัดประชุมเองสามารถทำได้ง่าย แต่หากผู้อื่นเป็นคนนัดประชุม อาจจะเลื่อนเวลาไม่ได้ กรณีเช่นนี้ท่านควรแจ้งผู้นัดประชุมให้ทราบว่าท่านอาจจะเข้าประชุมช้าเพราะการเดินทาง วิธีนี้ก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่ดี
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ อย่าท้อ สู้ต่อไป การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมนั้นต้องใช้ระยะเวลา ขอเพียงตั้งใจจริง ก็จะสำเร็จตามความตั้งใจแน่นอน ฟันธง

เขียนโดย นายภาณุทัต  จิรานนท์
บริษัท ไอโปร เทรนนิ่ง จำกัด
แหล่งที่มารูปภาพ :www.drinkologist.co.th

บริษัท ไอโปร เทรนนิ่ง จำกัด
สนใจจัดอบบรมสัมมนา
แบบ In-house/Public
Tel.089-926-5550
www.ipro-training.com



วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Leadership ภาวะความเป็นผู้นำสร้างได้

Leadership แปลว่า ภาวะความเป็นผู้นำ หลายๆคนอาจจะนึกว่า ผู้นำต้องหมายถึงหัวหน้า หรือผู้บริหารเท่านั้น แต่จนิงๆแล้วไม่ใช่เลย ใครๆก็สามารภเป็นผู้นำได้ โดยที่เราไม่จำเป็นต้องมีลูกน้องหรือคนใต้บังคับบัญชา เรื่องของความเป็นผู้นำนั้นเป็นทักษะเฉพาะตัว ซึ่งแต่ละคนสามารถสร้างหรือพัฒนาได้
เราลองมาดูกันว่าคุณเคยทำแบบนี้ใช่หรือไม่
1. คุณมักจะชี้แจงวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนให้ผู้อื่นเข้าใจ และมีการทวนสอบความเข้าใจ ก่อนมอบหมายงานทุกครั้ง
2. คุณมักจะเปิดโอกาสให้ผู้อื่นได้แสดงฝีมือในการทำงาน โดยคุณมองว่ามันเป็นการพัฒนาและทำให้เขาเติบโตในสายงาน
3. คุณมักจะกระตุ้นทีมในเรื่องการทำงานให้บรรลุเป้าหมาย
4. คุณให้ความไว้วางใจและเชื่อมั่นในความสามารถและการตัดสินใจของผู้อื่น เมื่อคุณมีการมอบหมายงานให้เขาทำ
5. คุณเป็นคนที่ใครๆก็เข้าถึงได้ง่าย มีน้ำใจ และให้ความช่วยเหลือผู้อื่นอย่างเต็มที่
หากคำตอบทุกข้อของคุณคือ ใช่ แสดงว่าคุณมีทักษะความเป็นผู้นำ 
แต่หากว่าคำตอบในบางข้อคือ ไม่ใช่ ก็ถึงเวลาที่คุณควรหันกลับมาพัฒนา ภาวะความเป็นผู้นำของคุณได้แล้ว
คุณสมบัติของ LEADERSHIP ที่ดี คือ
L = Listen การเป็นผู้ฟังที่ดี
E = Explain การอธิบาย ชี้แจงสิ่งต่างๆด้วยความชัดเจน ถูกต้อง
A = Assist ยินดีให้ความช่วยเหลือผู้อื่น โดยไม่ต้องให้เขาร้องขอ
D = Delegate มีการมอบหมายงานให้ผู้อื่นได้โชว์ฝีมือบ้าง 
และต้องแสดงออกถึงความเชื่อมั่นว่า “เขาทำได้”
E = Evaluate มีการประเมินผลของการทำงานนั้นๆ
R = Reflect เป็นกระจกสะท้อนกลับ ให้ข้อมูล feedback ผู้อื่น
เพื่อการปรับปรุง
S = Smile การยิ้ม เป็นการสร้างบรรยากาศในการทำงานร่วมกัน
ให้มีบรรยากาศที่ดี
H = Heart ควรให้ใจกับผู้อื่นก่อน แล้วคุณจะได้รับ
I = Improvement การปรับปรุงตนเองอย่างต่อเนื่อง ค่อยๆปรับปรุงเพื่อ 
การเปลี่ยนแปลง 
P = Patient ความอดทน การจะเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนานั้นต้อง
ใช้เวลาและความอดทน
บทความโดย : นายภาณุทัต  จิรานนท์ 

บริษัท ไอโปร เทรนนิ่ง จำกัด
สนใจจัดอบบรมสัมมนา
แบบ In-house/Public
Tel.089-926-5550
www.ipro-training.com
ที่มารูปภาพ : www.myfirstbrain.com

วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ทำอย่างไรให้คน(อื่น)รัก


จงปฏิบัติตามนี้ แล้วจะมีผู้ต้อนรับท่านทุกหนทุกแห่ง
การผูกมิตรกับผู้อื่นจะสำเร็จเรียบร้อยภายในเวลา 2 เดือน ด้วยการเอาใจใส่อย่างแท้จริงต่อเขาผู้นั้น ซึ่งจะได้ผลยิ่งกว่าการผูกมิตรซึ่งใช้ เวลาถึง 2 ปี แต่ด้วยความพยายามให้เขาผู้นั้นเอาใจใส่ต่อเรา บุคคลใดที่ละเว้นการเอาใจใส่ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ไม่เพียงแต่เขาจะดำรงชีวิตอยู่โดยปราศจากความราบรื่น หากเขาจะเป็นมนุษย์ที่มี อันตรายอย่างใหญ่หลวงแก่ผู้อื่นด้วย มนุษย์เหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นผู้ห่างไกลจากความก้าวหน้า และความรุ่งเรืองในประการทั้งปวง ฉะนั้น จงเอาใจใส่อย่างแท้จริงต่อผู้อื่น ขอเน้น จงเอาใจใส่อย่างแท้จริงต่อผู้อื่น ถ้าท่านต้องการให้ผู้อื่นชอบท่าน
วิธีง่ายๆ ที่จะทำให้ผู้อื่นประทับใจเมื่อแรกพบ
  1. ท่านไม่มีความรู้สึกที่จะยิ้มเลยหรือ? เมื่อเช่นนั้นจะทำอย่างไรดี? มีอยู่ 2 ประการ ประการแรกจงบังคับตัวท่านให้ยิ้ม
    จนได้ ถ้าท่านอยู่ คนเดียว จงบังคับตัวของท่านให้ผิวปาก หรือทำเสียงหึ่มๆเป็นทำนองเพลง หรือร้องเพลง ท่านจงทำกิริยา
    ท่าทางเหมือนหนึ่งท่านกำลังมีความสุข และในที่สุด จะโน้มความรู้สึกของท่านให้มีความสุขจริงๆ
  2. ความสุขมิได้อยู่ที่สิ่งแวดล้อมภายนอก แต่อยู่ที่สิ่งแวดล้อมภายในต่างหาก
    - ไม่ใช่เพราะสิ่งที่ท่านมี หรือท่านอยู่ในฐานะใด หรือท่านอยู่ที่ไหน หรือท่านกำลังกระทำสิ่งใดที่ช่วยให้ท่านมีความสุข หรือปราศจาก ความสุข มันอยู่ที่ท่านคิดถึงสิ่งเหล่านั้นต่างหาก คนส่วนมากมีความสุขมากน้อยเพียงใด แล้วแต่จะทำใจให้รู้สึกเช่นนั้น
  3. "ท่านจะไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่นาทีเดียวคิดถึงศัตรูของท่าน จงพยายามตั้งใจให้แน่วแน่ มั่นคงในสิ่งที่ท่านปรารถนาจะ
    กระทำ ครั้นแล้ว โดยปราศจากการลังเลหันเห ท่านจงมุ่งตรงไปสู่จุดหมายนั้น จงทำใจของท่านให้จดจ่ออยู่เสมอว่า ความปรารถนาของท่านเพื่อกระทำสิ่งใดๆ จะประสบผลอันงามเลิศ แล้วท่านจะพบว่าขณะวันและเวลาล่วงไป โอกาสจะเปิด ให้ท่านประสบความสำเร็จตามความปรารถนาโดยไม่รู้ตัว"
  4. จงสร้างมโนภาพของท่าน ถึงบุคคลที่มีสมรรถภาพสูง เข้มแข็งเอาการเอางาน ซึ่งท่านประสงค์จะเป็นเช่นนั้นบ้าง และจากความนึกคิด ทุกๆชั่วโมงอันนี้เอง สามารถเปลี่ยนแปลงท่านให้เป็นบุคคลที่มีความเด่นเป็นพิเศษ..... ความคิด เป็นสิ่งที่มีความสำคัญสูงสุด จงดำรง รักษาจิตใจ แนวจิตไว้ให้อยู่ในท่าทีถูกต้องดีงาม ท่าทีแห่งความกล้าหาญบึกบึน แห่งความเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมา และร่าเริงแจ่มใส ความคิดอันถูกต้องดีงามจะนำไปสู่การสร้างสรรค์ ความสำเร็จสมดังปรารถนามาจากความตั้งใจจริง เราจะเป็นอย่างไร แล้วแต่ใจเราคิด
  5. มีภาษิตของจีนกล่าวไว้ว่า คนที่ใบหน้าไม่ยิ้ม อย่าเปิดร้านค้าขาย ฉะนั้น วิธีง่ายๆ ที่ทำให้ผู้อื่นติดใจเมื่อแรกพบ ก็คือ "ยิ้ม"

ขอขอบคุณ
แหล่งที่มา: www.novabizz.com
รูปภาพ : http://shirleymaya.com

บริษัท ไอโปร เทรนนิ่ง จำกัด
สนใจจัดอบบรมสัมมนา
แบบ In-house/Public
Tel.089-926-5550
www.ipro-training.com



วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2558

เปลี่ยนกรอบความคิด ชีวิตเปลี่ยน

กรอบความคิด หรือที่เรียกว่า Paradigm คืออะไร
มีผู้ให้ความหมายหรือนิยามของคำว่า กรอบความคิด (Paradigm) ไว้หลายท่าน โดยผมขอสรุปง่ายๆว่า กรอบแนวคิดคือแนวทางปฏิบัติที่กระทำเป็นประจำจนกลายเป็นความเชื่อหรือวัฒนธรรม โดยที่กรอบแนวคิดของคนแต่ละคนจะถูกสร้างมาจากสิ่งที่พบเจอ ความรู้และประสบการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต จากสิ่งแวดล้อมรอบข้างเช่น ครอบครัว เพื่อน โรงเรียน เป็นต้น เราทุกคนจะดำเนินชีวิตโดยใช้กรอบแนวคิดที่แต่ละคนมีอยู่ในการทำสิ่งต่างๆ แต่การที่เราใช้กรอบแนวคิดแบบเดิมๆ ก็จะเป็นการสกัดกั้นแนวความคิดใหม่ๆ ความคิดที่สร้างสรรค์ (Creativity) ในที่นี้ผมไม่ได้บอกว่ากรอบแนวคิดเดิมที่เรามีอยู่และยึดถืออยู่ไม่ดีหรือไม่ถูกต้อง เพียงแต่เราควรจะเปิดรับหรือหาแนวคิดใหม่ๆ เพราะแนวคิดใหม่อาจจะดีกว่าแนวคิดเดิมก็ได้
การเปลี่ยนกรอบแนวคิด (Paradigms Shift) ถือเป็นจุดเริ่มต้นในการเปลี่ยนแปลงโดยรวมของตัวเราซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะกรอบความคิดเดิมของเรานั้นไม่ได้ถูกสร้างขึ้นในวันเดียว ดังนั้นการเปลี่ยนกรอบจึงเป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำได้อย่างรวดเร็วเช่นกันเพราะฉะนั้นเราจะไม่เปลี่ยนมันในทันที แต่เราจะใช้การขยายหรือการคิดออกนอกกรอบเดิม ๆ แทน ยกตัวอย่างที่มักนิยมใช้คือ คำถามที่ว่า 1 + 1 เท่ากับเท่าไร คนส่วนใหญ่ก็จะตอบว่า 2 แต่ถ้าเราลองดูจะพบว่าสามารถตอบได้หลายแบบ เช่น 1+ 1 = 3 - 1 หรือ 1 + 1 = 4 / 2 ซึ่งทุกคำตอบล้วนถูกต้องทั้งนั้น เพียงแค่เราเปลี่ยนวิธีคิดให้ต่างออกไป เพราะถ้าเราติดอยู่กับกรอบความคิดเดิมๆ เราก็จะคิดเหมือนกับคนอื่นเป็นล้านคน แต่ถ้าเราคิดต่างออกไป เราจะได้ความคิดใหม่ๆที่ต่างออกไปจากเดิม
คราวนี้ลองมาเล่นเกมกัน โจทย์คือให้ลากเส้นตรง 4 เส้นต่อเนื่องกันโดยไม่ยกมือ โดยเส้นตรงเหล่านั้นจะต้องผ่านจุด 9 จุด ลองคิดและลองเล่นก่อนดูเฉลยนะครับ
เกมส์นี้เป็นเกมส์ที่ดี สอนให้เราคิดนอกกรอบเดิมๆ ถ้าหากคุณพยายามที่จะลากเส้นตรงให้อยู่ในกรอบ ท่านจะไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ แต่ถ้าท่านลองคิดใหม่ โดยการลากเส้นตรงออกมานอกกรอบ ท่านจะสร้างวิธีแก้ปัญหาแบบใหม่ๆ เป็นการคิดนอกกรอบนั่นเอง
ลองค่อยๆเปลี่ยนกรอบความคิด แล้วท่านจะพบแนวคิดใหม่ๆ ที่แตกต่างจากเดิม

เขียนโดย ภาณุทัต จิรานนท์
บริษัท ไอโปร เทรนนิ่ง จำกัด
สนใจจัดอบบรมสัมมนา
แบบ In-house/Public
Tel.089-926-5550
www.ipro-training.com



แหล่งที่มารูปภาพ : http://www.oknation.net/

วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2558

หัวหน้างานที่ต้องมี POLE

หัวหน้างานคือผู้ที่จะต้องบริหารงานและคนที่มีอยู่อย่างจำกัดได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล หน้าที่ของหัวหน้างานมีมากมาย แต่ในที่นี้ขอสรุปหน้าที่หลักๆของหัวหน้างานที่จะต้องปฎิบัติ ซึ่งเรียกสั้นๆว่า POLE 
POLE นั้นประกอบไปด้วย Planning, Organizing, Leading และ Evaluating โดยทั้ง 4 หัวข้อนี้เป็นพื้นฐานของ Process Management หรือการจัดการกระบวนการงานต่างๆ หลักการ POLE นี้เป็นพื้นฐานของการจัดการงานต่างๆให้สำเร็จ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
P : Planning (การวางแผนงาน) เป็นหน้าที่รับผิดชอบของหัวหน้างานที่จะต้องกำหนดแผนงานในภาพรวมและแผนงานย่อยของแต่ละทีม แต่ละบุคคล โดยแผนย่อยๆนั้นจะต้องสอดคล้องกับแผนงานใหญ่ และสิ่งสำคัญคือหัวหน้างานจะต้องกำหนด กรอบเวลาและเป้าหมาย ให้ชัดเจน
O : Organizing (การจัดการคน) หัวหน้างานจะต้องมีการกำหนดผู้รับผิดชอบให้มีความเหมาะสมกับงาน กำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบที่ชัดเจน สิ่งสำคัญคือควรพิจารณาทักษะความสามารถของพนักงานประกอบกันด้วย เพราะคนแต่ละคนมีทักษะที่แตกต่างกัน  
L : Leading (การนำ) หัวหน้างานควรเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนผลงาน อย่าใช้วิธีการสั่งงานเพียงอย่างเดียว หากเรามีการมอบหมายงานให้ทีมไปแล้ว หัวหน้างานควรมีส่วนช่วยในการเข้าไปดูแล โค้ช ติดตามงานเป็นระยะๆ เพราะหากหัวหน้างานเข้ามามีส่วนร่วมจะเป็นการพัฒนาทีมและยังเป็นการสร้างสัมพันธ์อันดีภายในทีมอีกด้วย 
E : Evaluating (การประเมินผลงาน) หัวหน้างานควรมีการติดตาม ประเมินผลงานเป็นระยะๆ เพื่อให้แน่ใจว่า การปฎิบัติงานยังเป็นไปตามแผนที่วางไว้หรือไม่ และอาจมีการเปลี่ยนแปลงแผนงานได้ตลอดเวลา ควรมีการชมเชยหากผลงานออกมาได้ตามที่วางแผนไว้ เพื่อสร้างชวัญและกำลังในให้ทีมงาน มีความมุ่งมั่นทำงานต่อไปอย่างเต็มประสิทธิภาพ
หลักการ POLE นี้ ไม่ได้มีประโยชน์เฉพาะหัวหน้างานเท่านั้น ทุกคนสามารถนำหลักการ POLE นี้ไปใช้ในการทำงานได้ทั้งสิ้น โดยหลักการ POLE จะมีส่วนช่วยให้ผลงานบรรลุตามเป้าหมาย....ฟันธง

เขียนโดย นายภาณุทัต  จิรานนท์ 
บริษัท ไอโปร เทรนนิ่ง จำกัด
สนใจจัดอบบรมสัมมนา 
แบบ In-house/Public
Tel.089-926-5550

วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2558

5 สูตรสำเร็จ สร้างแบรนด์ให้ติดตลาดอย่างโค้ก

brand-2
” ฝากซื้อโค้กสักขวด ” เราคงเคยพูดคำนี้กันอยู่บ่อยๆ เวลากระหาย และต้องการเครื่องดื่มโคล่า ซ่าๆ สักขวด
เคยสงสัยไหมว่า ทำไมเราถึงพูดว่า “โค้ก” แทนการพูดว่า “ฝากซื้อเครื่องดื่มโคล่าสักขวด” หรือพูดถึงยี่ห้ออื่นแทน
นั่นก็เพราะโคคา-โคล่า หรือ “โค้ก” ที่เรารู้จักกัน ได้สร้าง “แบรนด์” ให้ฝังลงไปในจิตใจของผู้ซื้ออย่างเราเรียบร้อยแล้ว
และนี่คือประโยชน์ของการสร้างแบรนด์…และเป็นเหตุผลว่า หากอยากประสบความสำเร็จ
เราจึงจำเป็นต้องสร้าง “แบรนด์” ที่แสดงให้เห็นตัวตนของธุรกิจหรือสินค้าขึ้นมา
Big-Brands
โค้ก…แทบจะกลายเป็นชื่อแทนเครื่องดื่มประเภทโคล่า เวลาไปร้านอาหาร เราอาจสั่งโค้ก แม้จะได้ยี่ห้ออื่นมา
มาม่า กลายเป็นชื่อของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป (ทั้งๆ ที่มันเป็นชื่อแบรนด์)
เวลาไปสั่งก๊วยเตี๋ยว เรามักจะพูดว่าเอาเส้นมาม่า (ไม่ได้พูดว่าเอาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป) แม้เราจะได้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของแบรนด์อื่นมาก็ตาม

นี่คือความสำคัญของการสร้างแบรนด์

เมื่อเราทำให้แบรนด์มีตัวตน และฝังลงไปในจิตใจของผู้คนได้ เมื่อนั้นแบรนด์ของเราก็จะกลายเป็นที่รับรู้ และประสบความสำเร็จได้อย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว
วันนี้ตลาดปัญญาจึงนำ “สูตรสำเร็จ” ในการสร้างแบรนด์มาแบ่งปัน ให้กับผู้อ่านทุกท่าน เพื่อนำไปพัฒนาธุรกิจของท่านให้ประสบความสำเร็จ แบบที่ โค้ก และ มาม่า เป็น!!! 
brand-1












1. ตอบคำถามเหล่านี้ให้ได้

อันดับแรกของการสร้างแบรนด์ สิ่งที่สำคัญเลยที่ต้องรู้คือ เรากำลังทำอะไร และทำไปเพื่ออะไร
เราต้องมองเห็นภาพรวมของบริษัทหรือธุรกิจของเราว่าเป็นธุรกิจอะไร มีจุดมุ่งหมายคืออะไร
หรือสรุปง่ายๆ เป็นคำถามที่ต้องตอบให้ได้ 4 ข้อ ดังนี้

ทำไมเราถึงเริ่มต้นทำธุรกิจนี้
  • เป้าหมายแห่งความสำเร็จในธุรกิจของเรามีอะไรบ้าง
  • ใครบ้างที่จะเป็นกลุ่มเป้าหมายและลูกค้าของเรา
  • ธุรกิจของเราแตกต่างจากของคนอื่นอย่างไร

2. สร้างคุณค่าของแบรนด์

หลังจากที่เราได้คำตอบกับธุรกิจ หรือ “พันธกิจ” ของเราแล้ว สิ่งถัดมาก็คือ การสร้างคุณค่าให้กับแบรนด์ของเรา ต้องมาดูว่า แบรนด์ของเรานั้นมีคุณค่า และมีประโยชน์ต่อผู้อื่นมากน้อยเพียงใด และเราจะทำอย่างไรให้แบรนด์ของเรามีคุณค่า เพราะมันคงเป็นไปไม่ได้เลยที่คนจะมาสนใจแบรนด์ของเรา ถ้าหากว่าแบรนด์ที่เราสร้าง ไม่ได้ให้อะไรกับผู้อื่นเลย
ยกตัวอย่างง่ายๆ
ถ้าเราจะทำแบรนด์กาแฟ เราต้องบอกได้ว่า กาแฟเรามีคุณค่าอย่างไร
เช่น รสชาติดี เมล็ดกาแฟมีคุณภาพ ผ่านการคัดสรรมาอย่างดี และมีสูตรลับที่ไม่มีใครเหมือน

3. รู้จักจุดอ่อนของตัวเอง
ข้อนี้เราต้องมองหาจุดอ่อนที่มี และมองอย่างตรงไปตรงมา ไม่เข้าข้างตัวเอง เพื่อที่เราจะได้หาวิธีทางแก้ไขจุดที่เราบกพร่อง
ลองสำรวจหรือสังเกต ธุรกิจที่คล้ายๆ กันกับเรา แล้วดูว่ามีข้อดี-ข้อเสียอะไร อะไรควรพัฒนา และอะไรควรแก้ไข

cs-voice

4. คิดให้เหมือนลูกค้า

ในธุรกิจทุกชนิด ลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายของเราเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด แบรนด์ไหนหรือธุรกิจไหนที่สามารถตอบโจทย์พวกเขาได้ก็จะกลายเป็นแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จและติดตลาด ดังนั้น เราต้องคิดว่าเราคือลูกค้า มองให้ออกว่าลูกค้าต้องการอะไร อะไรที่พวกเขามองหา  เพราะเมื่อแบรนด์ของเราสามารถตอบสนองต่อความต้องการของกลุ่มเป้าหมายและลูกค้าของเราได้ เมื่อนั่นเราก็จะเริ่มมีตัวตนในสายตาของพวกเขา และทำให้กลุ่มเป้าหมายหันมาสนใจในที่สุด

5. นำเสนออย่างต่อเนื่อง

เมื่อสามารถทำให้กลุ่มเป้าหมายหันมาสนใจได้แล้ว สิ่งต่อมาคือ การนำเสนอแบรนด์อย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้พวกเขาลืมแบรนด์ของเรา
อย่างไรก็ตาม วิธีการนำเสนอควรจะมีกลวิธีที่ดี ให้ลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายรู้สึกว่าได้ผลประโยชน์จากการที่จะมาติดตาม ใช้บริการ หรือเป็นส่วนหนึ่งในแบรนด์ของเรา ไม่ใช่การยัดเยียดขาย จนทำให้พวกเขารู้สึกรำคาญและกลายเป็นอคติ ดังนั้น การนำเสนอเรื่องราวหรือข้อมูลดีดี จึงเป็นวิธีที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย
นอกจากนั้นแล้ว อย่าลืมที่จะใช้ Social Media ให้เป็นประโยชน์ เพราะนี่คือช่องทางที่ดีที่สุดในการเผยแพร่เรื่องราวของเรา อาจจะมีการจัดกิจกรรมเล็กๆ น้อย เช่น ชวนร่วมเล่มเกมส์ในแฟนเพจ เพื่อให้ลูกค้าและกลุ่มเป้าหมายของจำแบรนด์ของเราได้
ต้องไม่ลืมว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือความต่อเนื่อง เพราะท่ามกลางการแข่งขันที่มากมาย และมีหลากหลายเรื่องราวผ่านเข้ามา ถ้าแบรนด์ของเราไม่มีการนำเสนออย่างต่อเนื่องอยู่ตลอด ลูกค้าและกลุ่มเป้าหมายก็อาจจะหันไปสนใจแบรนด์อื่นแทน
ลองนำสูตรสำเร็จเหล่านี้ไปใช้ การประสบความสำเร็จย่อมไม่ไกลเกินเอื้อมอย่างแน่นอน!

ขอบคุณแหล่งที่มา

บริษัท ไอโปร เทรนนิ่ง จำกัด
สนใจจัดอบบรมสัมมนา 
แบบ In-house/Public
Tel.089-926-5550

วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2558

เทคนิค 3 H กับการขับเคลื่อนผลงาน

ในการที่เราจะขับเคลื่อน หรือทำอย่างไรให้ผลการปฏิบัติงานของเราสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ มีส่วนประกอบ 3 ส่วนหลักๆ คือ Head, Hand และ Heart
HEAD : ศรีษะ (การบริหารด้วยสมองและความคิด)
การใช้ HEAD สำหรับผู้บริหาร ควรเปิดโอกาสให้พนักงานได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นด้วย ไม่ใช่การบริหารด้วยปาก การใช้คำสั่งบงการและตำหนิทันทีเมื่อพบข้อบกพร่องผิดพลาด
 เราควรใช้ HEAD ในการตอบคำถามเหล่านี้ให้ได้เสียก่อน เพราะเราจะได้ตรวจสอบว่าเรามีความเข้าใจ, มีความรู้ และความชัดเจน มากน้อยเพียงใด
- คุณทราบหรือไม่ว่าองค์กรมีเป้าหมายที่กำลังพยายามทำให้บรรลุผลอะไรบ้าง? 
- คุณทราบหรือไม่ว่า หน่วยงานของคุณ หรือแผนกของคุณต้องทำอย่างไรเพื่อตอบโจทย์ คำถามแรก?
- คุณทราบหรือไม่ว่าองค์กร คาดหวังอะไรจากคุณในงานที่คุณทำ (วัตถุประสงค์, มาตรฐาน, และดัชนีชี้วัด ที่จะวัดผลความสำเร็จ)

HAND : มือ (การลงมือทำ ลงมือปฎิบัติ)
การใช้ HAND สำหรับผู้บริหารควรลงมือทำ มีการแบ่งความรับผิดชอบ และมีส่วนร่วมกับพนักงาน ควรลดการชี้นิ้วสั่ง ทำโน่นทำนี่แบบเผด็จการ โดยคิดว่าตนเองรู้ทุกเรื่อง เก่งทุกเรื่อง
แต่สำหรับทุกคนนั้น HEAD หมายถึงความสามารถที่จำเป็นเพื่อทำหน้าที่ให้เกิดผล ดังนั้นก่อนที่จะลงมือทำ ควรจะตอบคำถามเหล่านี้ให้ได้เสียก่อน
 - คุณมีทักษะ, ความรู้ และประสบการณที่เหมาะสมที่จะทำงานนี้หรือไม่? ถ้าไม่ คุณจะทำอย่างไร มีวิธีการใดที่จะทำให้ดีขึ้นกว่าเดิม?

HEART : หัวใจ (แรงจูงใจ)
การเห็นอกเห็นใจผู้อื่น มีความเอื้ออาทร และเข้าใจผู้อื่น เป็นสิ่งสำคัญ โดยเราควรจะทำงานตาม ความเชื่อและค่านิยมขององค์กร, ความรู้สึก และทัศนคติที่ดี ในอีกความหมายหนึ่งคือ ความตั้งใจที่จะกระทำผลงานออกมาให้ดีที่สุด
เราควรจะตอบคำถามเหล่านี้ให้ได้เสียก่อน
 - สิ่งที่คุณทำอยู่ เป็นไปตามเกณฑ์ค่านิยมหรือความเชื่อขององค์กรหรือไม่?
- คุณมีส่วนกับค่านิยมหรือความเชื่อขององค์กรเหล่านี้?
- พฤติกรรมของคุณมีผลสะท้อนกับสิ่งเหล่านี้

3H จะมีส่วนช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพ ถ้าส่วนหนึ่งส่วนใดขาดหายไป ผลการปฏิบัติงานจะไม่บรรลุผลสัมฤทธิ์สูงสุด

  ศรีษะและมือ
  บุคคลนั้นอาจจะใช้ความคิดและมีความสามารถ อาจทำงานให้สำเร็จลุล่วง แต่ความปรารถนาที่จะทำอาจไม่มี และนี้อาจจะส่งผลกระทบกับพฤติกรรมและการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
  ศรีษะและหัวใจ
  บุคคลนั้นอาจจะใช้ความคิดและมีความรู้สึกที่จะทำให้เกิดขึ้น แต่กรณีนี้อาจจะขาดทักษะ ความรู้ และประสบการณ์ที่จะทำ
  มือและหัวใจ
  บุคคลนั้นอาจมีความสามารถและแรงจูงใจที่จะทำให้เกิดขึ้น แต่ปราศจากความเข้าใจว่าอะไรคือความหวัง อาจไม่ทำให้เกิดขึ้นตามที่ต้องการ

 อย่าลืมใช้ 3H กับงานของคนเองและเคารพใน 3H ของผู้อื่นด้วยนะครับ

เขียนโดย นายภาณุทัต  จิรานนท์ 
บริษัท ไอโปร เทรนนิ่ง จำกัด
สนใจจัดอบบรมสัมมนา 
แบบ In-house/Public
Tel.089-926-5550

วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2558

วางแผนอย่างไรให้ Smart

หลักการ SMART นั้น เป็นหลักการที่เราสามารถนำไปใช้ในการวางแผนงานต่างๆโดยหลักการนี้จะช่วยให้เราในการตั้งเป้าหมายและวางแผนงานต่างๆ ให้ประสบความสำเร็จได้
รายละเอียดของหลักการ SMART มีดังนี้
S : Specific         ต้องกำหนดให้เป้าหมายหรือแผนงาน มีความเฉพาะเจาะจง ชัดเจนไม่คลุมเครือ การที่เรามีความชัดเจนและเฉพาะเจาะจงตั้งแต่เริ่มต้นจะทำให้เรามองเห็นภาพรวมได้ชัดเจน ภาพต้องชัด ไม่คลุมเครือ  
M : Measurable   ต้องสามารถวัดได้ การตั้งเป้าหมายหรือวางแผนงานนั้นต้องสามารถตรวจสอบ วัดค่าเพื่อเปรียบเทียบกับเป้าหมายได้ เพราะการดูความคืบหน้าของงานจะทำได้ง่ายขึ้น
A : Achievable     ต้องมีความเป็นไปได้ที่จะบรรลุตามเป้าหมาย หรือฝันที่วางแผนไว้หากเป้าหมายยากเกินไป ไม่สามารถทำได้แน่นอน ก็จะเป็นการบั่นทอนกำลังใจ ท้อแท้ แต่หากเป้าหมายง่ายเกินไป ก็จะทำให้ ไม่มีความพยายามขี้เกียจ ไม่มีพลังขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมาย ดังนั้นการตั้งเป้าหมานหรือวางแผนงานควรยึดทางสายกลาง มีความพอดี ไม่มากหรือน้อยเกินไป จะดีที่สุด
R : Realistic        อยู่บนพื้นฐานของความจริง การที่จะวางแผนงานหรือกำหนดเป้าหมายใดๆนั้นจะต้องอาศัย ข้อมูลเก่า หรือฐานข้อมูลในการกำหนด ไม่ใช่การตั้งขึ้นมาลอยๆ
T : Time line       ควรมีกรอบระยะเวลาที่ชัดเจน งานต่างๆควรมีการกำหนดระยะเวลาเพื่อเป็นกรอบหากไม่มีการกำหนดกรอบเวลา ก็จะไม่รู้ว่าต้องเสร็จเมื่อไหร่ ต้องทำตอนไหนโดยส่วนมาก กรอบระยะเวลาที่ใช้อาจเป็น 6 เดือนถึง 1 ปี  หากจะใช้ระยะเวลานานๆขอให้มีการกำหนด Milestone เพื่อตรวจสอบผลงานเป็นระยะๆ

เราควรหลักการของ SMART ไปใช้ควบคู่กับวงจร PDCA ด้วย นั้นคือ Plan - Do - Check - Action
เราควรทบทวนเป้าหมายหรือแผนงานเป็นประจำ และควรมีการปรับแผนงานตามความเหมาะสม เพราะ
บางครั้ง สิ่งที่เราคิดไว้ในตอนแรก มันอาจจะไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้
หากเรามีการนำหลักการนี้ไปใช้ ความสำเร็จต่างๆจะอยู่ไม่ไกล และไปถึงได้ไม่ยาก แน่นอน...ฟันธง  

เขียนโดย นายภาณุทัต  จิรานนท์ 
บริษัท ไอโปร เทรนนิ่ง จำกัด
สนใจจัดอบบรมสัมมนา 
แบบ In-house/Public
Tel.089-926-5550

“เก่งคน” สำเร็จได้ไม่แพ้ “เก่งงาน”

                 โดยทั่วไปความสาเร็จทางอาชีพการงานมักเชื่อมโยงเข้ากับความรู้ ทักษะ หรือประสบการณ์การทำงานอยู่เสมอ ปัจจัยอื่นที่มีบทบาทสาคัญในการทำงานมักถูกละเลย ถ้าหากคุณทำงานในองค์กรที่พร้อมจะมอบความก้าวหน้าในอาชีพให้กับคน”เก่งงาน”เช่นคุณ คุณสามารถมั่นใจได้ว่าหนทางสู่ความสำเร็จในหน้าที่การงานนั้นอยู่ตรงหน้าคุณแล้ว
แต่อาจไม่ใช่ทุกคนที่พบกับความโชคดีนั้น ถึงเวลาแล้วที่จะมองหาช่องทางในการพัฒนาการทำงานของคุณเพื่อก้าวไปสู่ความสาเร็จ
Soft skill คืออะไร
                  Soft Skill ซึ่งในที่นี้แทนด้วยคาว่า “เก่งคน” หมายถึง การมีทักษะในการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น อาทิ การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ ทักษะในการแก้ไขปัญหา ภาวะความเป็นผู้นำ การสร้างความสัมพันธ์ในทีมงาน ความยืดหยุ่น การมีพลังในตนเอง ทัศนคติเชิงบวก ความมีมนุษยสัมพันธ์ รวมถึงความสมัครใจเรียนรู้สิ่งใหม่

  คุณเริ่มพิจารณา Soft skill ของคุณเพื่อนาไปใช้ในการสมัครงานหรือยัง? ทั้งนี้ Soft skill เพียงอย่างเดียวไม่สามารถช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในการสมัครงานได้ อเด็คโก้แนะนาให้คุณปรับใช้ Soft skill ของคุณร่วมกับความรู้ ความสามารถอื่นที่คุณมีอยู่จึงจะเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดในการสมัครงาน Soft skill มีบทบาทสาคัญอย่างมากในทุกองค์กรและทุกความสำเร็จ ทักษะเหล่านี้จะส่งผลให้คุณโดดเด่นกว่าผู้สมัครงานผู้อื่นที่มีคุณสมบัติเทียบเท่าหรือสูงกว่าคุณ นอกจากนี้ทักษะนี้ยังสามารถปรับใช้ได้กับทุกสายอาชีพ

ทุกคนมี Soft Skill หรือไม่
Soft skill เป็นพฤติกรรมเฉพาะที่แต่ละบุคคลมีอยู่ บางคนอาจมีทักษะที่ดีเลิศและสามารถนำไปใช้ได้ในทุกสถานการณ์ เช่น ทักษะในการเรียนรู้อย่างรวดเร็ว ทักษะการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ หรือ ความสามารถในการควบคุมและได้รับการนับถือจากผู้บริหาร
ทักษะดังกล่าวนั้นไม่ได้เกิดจากการเรียนรู้ หากแต่เกิดจากการพัฒนาและฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง อาทิ ทักษะในการแก้ไขปัญหา บางคนสามารถจัดการกับปัญหาได้เป็นอย่างดี สามารถหาทางแก้ไขกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย ในขณะที่บางคนอาจรู้สึกเป็นเรื่องยากลำบาก ดังนั้นการพัฒนาทักษะในการแก้ไขปัญหา คุณจำเป็นต้องเรียนรู้มากยิ่งขึ้นในเรื่องการแก้ปัญหา คุณอาจเข้าร่วมสัมมนาหัวข้อการมองปัญหาหลากหลายแง่มุมและฝึกฝนให้คุณเรียนรู้ด้วยตนเอง

ความโดดเด่น
ผู้ที่มองหางานที่เต็มไปด้วยคุณสมบัติด้านการศึกษาและประสบการณ์การทำงานมีจำนวนมาก แต่การมองหาผู้สมัครงานที่มี Soft skill กลับตรงกันข้าม ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องยาก ราวกับการงมเข็มในมหาสมุทรเลยทีเดียว แม้ว่านายจ้างส่วนใหญ่ไม่ได้ระบุถึง Soft skill ในการประกาศสมัครงาน แต่พวกเขาคาดหวังและมองหา Soft skill ในตัวผู้สมัครงานอย่างแน่นอน หลายองค์กรเลือกที่จะจ้างบุคลากรที่มีระดับ Soft skill สูง มากกว่าการคัดเลือกจากคุณสมบัติเรื่องความรู้ ความสามารถเป็นหลัก บางองค์กรจัดโครงการฝึกฝน พัฒนา Soft skill ของผู้สมัครงานเพื่อให้เหมาะสมกับตำแหน่งงาน ซึ่งเป็นสิ่งนอกเหนือจากการคัดเลือกผู้ที่มีทักษะหลักที่เกี่ยวกับงานและเป็นประโยชน์แก่องค์กร

มุ่งสู่หนทางที่สูงขึ้นหากคุณมีคุณสมบัติเหล่านี้แล้ว จงพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นเรื่อยๆ เพื่อเตรียมตัวคุณให้พร้อมสู่ความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว

Soft skill แบบใดที่เหมาะสมต่อการทำงาน?
ไม่มีคำว่า ถูก หรือ ผิด สำหรับทักษะนี้ เพียงแต่อาจมีทักษะบางอย่างที่นายจ้างมองหาในผู้สมัครงาน ตัวอย่างเช่น
• การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ ทักษะนี้จะช่วยลดความเข้าใจผิดในการสื่อสาร ลดความขัดแย้ง อีกทั้งช่วยให้การทำงานราบรื่นยิ่งขึ้น

 ภาวะผู้นำถึงแม้คุณจะสามารถพัฒนาทักษะในการจัดการและความเป็นผู้นำขึ้นมาเองเมื่อก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นในอนาคต แต่หากขณะนี้นายจ้างเล็งเห็นว่า คุณมีศักยภาพนี้อยู่แล้ว คุณอาจได้รับโอกาสในการทำงานที่สาคัญ

• การแก้ไขปัญหาหากคุณมีทักษะในการแก้ไขปัญหาซึ่งเป็นทักษะที่สาคัญมากอย่างหนึ่ง คุณมั่นใจได้ว่าจะไม่มีสิ่งใดขัดขวางคุณได้ เมื่อใดที่คุณเจออุปสรรค คุณจะสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆได้อย่างรวดเร็ว และยังเป็นการรักษาเวลาไว้เพื่อทำงานอื่นได้อีกด้วย

แห่งที่มาบทความ : Adecco Group Thailand
แหล่งที่มาของภาพ : www.s3executivepayments.com

บริษัท ไอโปร เทรนนิ่ง จำกัด
สนใจจัดอบบรมสัมมนา 
แบบ In-house/Public
Tel.089-926-5550

วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2558

เทรนด์ 7 ช. ที่นักการตลาด นักขาย สามารถนำไปใช้ได้จริง

พฤติกรรมผู้บริโภคยุคนี้มีความเปลี่ยนแปลงไปมากนะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กระแสที่จะเปลี่ยนมาเป็นเศรษฐกิจบนฐาน Digital หรือ Digital Economy นั้น น่าสนใจมากเลยทีเดียว เรามาดูเทรนด์ 7 ช. รอบๆ ตัวเรากันนะครับ ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อการสื่อสารกับลูกค้าสำหรับงานขาย งานบริการ และการตลาดได้ดีเลยทีเดียว

1. ช็อป : มีผลวิจัยมากมายที่ยืนยันว่าผู้บริโภคเรามีรายได้สูงขึ้น มีการศึกษาสูงขึ้น มึความรู้มากขึ้น … และเมื่อมีรายได้สูงขึ้นแล้ว รสนิยมที่ดีก็จะตามมา ซึ่งคงหนีไม่พ้นการ Shopping ที่มีกระแสมากขึ้นๆๆ เรื่อย ท่านจะสังเกตเห็นถึง Shopping Mall ต่างๆ ที่เติบโตขึ้นมาก เพราะผู้บริโภคมีการจับจ่ายใช้สอยกันมากขึ้นนั่นเอง และรูปแบบการ Shopping ก็จะมีทางเลือกมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแบบ Offline หรือ Online

2. ชิม : ลูกค้าทุกวันนี้ให้ความสำคัญและพิถีพิถันกับการเลือกร้านอาหาร มีการรับประทานอาหารนอกบ้านกันมากขึ้น ร้านอาหารมีโอกาสเติบโตได้เรื่อยๆ หรือกิจกรรมต่างๆ ที่เน้นการรับประทานอาหารร่วมกัน ก็น่าสนใจไม่น้อย

3. แชะ : พลาดไม่ได้ สำหรับเทรนด์นี้ จากสิ่งที่ใกล้ตัวที่สุดในชีวิตของทุกท่าน ซึ่งหนีไม่พ้นเจ้าโทรศัพท์มือถือ ซึ่งก็ถือว่าทำหน้าที่เป็นตากล้องชั้นดีแบบใกล้ตัวให้กับเราได้ด้วย ก็ทำให้ผู้บริโภคมีโอกาสในการถ่ายภาพ เก็บภาพใน Moment ต่างๆ ได้ไม่ยาก รวมถึงการอัด Clip ต่างๆ ดูได้จากการเติบโตของ Fan page ที่เน้นการถ่ายคลิปมากมาย อาทิ YOuLike หรือ You share เป็นต้น

4. โชว์ : ผมมีงานวิจัยที่ได้รับทุนจากกระทรวงวัฒนธรรม เมื่อสองสามปีที่ผ่านมา พบว่าวัยรุ่น โดยเฉพาะ Gen Z หรือ Gen Y มีลักษณะของการชอบ “โชว์” ชอบ “แสดงออก” ให้บุคคลอื่นๆ ได้เห็น ได้มา Comment ได้มาแสดงความรู้สึก หรือได้มากดไลค์กัน ดังนั้นนักการตลาดจะต้องหา “เวที” ที่ถูกต้อง และเหมาะสมให้กับลูกค้ากลุ่มนี้ได้แสดงออกอย่างเต็มที่ เห็นได้จากใน YOutube ก็จะมีชาว Social มา Post ความสามารถพิเศษต่างๆ ไว้มากมาย เนื่องจาก Youtube ถือเป็น “เวทีระดับโลก” ที่ให้โชว์ได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลง ดีดกีตาร์ เล่นดนตรีผ่านใน Social ต่างๆ ซึ่งเราปฏิเสธไม่ได้ว่ามีศิลปิน หรือ Net Idol เกิดขึ้นมากมายจากโลก Social

5. แชร์ : อันนี้ไม่พลาดแน่นอน สำหรับพฤติกรรมที่ “มีดีต้องบอกต่อ” สำหรับ Content ดีๆ ใน Facebook หรือเรื่องราวดีๆ มักจะถูกแชร์ หรือ copy ลงในสื่อ Social เพื่อเผยแพร่ให้คนใกล้ตัวได้รับรู้ เช่น Facebook Line หรือ Twitter เป็นต้น ดังนั้นถ้านักการตลาด นักขาย มี Content หรือเนื้อหาที่ดีๆ เป็นประโยชน์ (ที่แท้จริง) ไม่ว่าจะเป็นด้าน Functional หรือ Emotional ผมว่า จะได้รับการแชร์ได้ไม่ยาก และเป็นการแชร์แบบ “เต็มใจ” ด้วยนะครับ :)

6. เช็คอิน : อุปกรณ์และ Application ทุกวันนี้ ถูกผูกติดกับ Location ค่อนข้างมาก ดังนั้น การ Check-in ก็เป็นสิ่งที่สามารถบอกได้ว่า ชั้นอยู่ที่ไหน ทำอะไร และที่สำคัญสถานที่เหล่านี้ยังสามารถบ่งบอกถึง “สถานะ” ทางสังคม หรือ “รสนิยม” บางอย่างของผู้ Check ได้ เช่น มาทำสปาที่โรงแรมหรู มาออกงาน มาซื้อของที่ห้าง Premium เป็นต้น ซึ่งถือว่าเป็นการ “ระบุตัวตน” อย่างหนึ่งของลูกค้าได้ และหลายแบรนด์ก็ได้ใช้ Tag line หรือ Keyword บางอย่าง พ่วงเข้าไปกับสถานที่ Check-in เพื่อเป็นการสร้างแบรนด์แบบเนียนๆ

7. แชท : งานนี้ไม่ว่าใครก็ต้องแชทกันทุกคน ปฏิเสธไม่ได้ตั้งแต่มีเจ้า SMS / Chat on Web มาถึงยุค MSN + Chat หน้า page หรือ Chat Program ต่างๆ อย่าง ICQ เป็นต้น จนมาถึงทุกวันนี้ พฤติกรรมนี้ก็ไม่หมดสิ้น เพราะปัจจุบัน คือ 24/7 Connect เป็นที่เรียบร้อย ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีสำหรับนักขาย และนักบริการที่สามารถ Contact กับลูกค้าได้ผ่าน Program เหล่านั้น และลูกค้าก็ยินดีที่จะให้ติดต่อเสียด้วย แต่ต้องไม่ลืมว่าต้องไม่รบกวนลูกค้าอย่างเด็ดขาด
นี่คือ 7 ช เบื้องต้นที่อยากนำเสนอทุกท่านไว้เป็นเครื่องมือเล็กๆ หรือเกร็ดพฤติกรรมผู้บริโภคเล็กๆ ให้ได้เป็นแนวทางในการวางแผน หรือคิดต่อยอดได้ครับ :)



แหล่งที่มา : นราธิป อ่ำเที่ยงตรง
ที่ปรึกษาและ วิทยากรการขาย การตลาด และการบริการ ให้กับองค์กรภาครัฐและเอกชน
CEO บ. Smart Motion Thailand จำกัด

บริษัท ไอโปร เทรนนิ่ง จำกัด
สนใจจัดอบบรมสัมมนา 
แบบ In-house/Public
Tel.089-926-5550

วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ISO9001: 2015 แตกต่างจากเดิมอย่างไร?

ISO9001  เป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับจากองค์กรต่างๆทั่วโลกมากที่สุด การชักนำองค์กรต่างๆเข้าร่วมการรับรองมาตรฐานนั้น เริ่มต้นจากการเป็นมาตรฐานที่นำไปปฏิบัติได้ง่ายๆตามสโลแกนที่ว่า “ ทำตามที่เขียน เขียนตามที่ทำ ” โดยองค์กรที่นำระบบไปใช้รวมถึงลูกค้าที่ได้รับผลิตภัณฑ์และบริการจากองค์กรที่ผ่านการรับรองต่างก็ตระหนักดีว่าการทำได้ตามที่เขียนไว้นั้นยังไม่เพียงพอต่อการตอบสนองความต้องการของลูกค้า ที่มีแต่จะเพิ่มมากขึ้น   และการแข่งขันที่มีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ดังนั้น ข้อกำหนดต่างๆของมาตรฐาน ISO9001 จึงถูกกำหนดให้มีการทบทวนและปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้เป็นระบบบริหารคุณภาพที่ได้ประโยชน์สูงสุดสำหรับองค์กรลูกค้า ผู้ถือหุ้น พนักงาน ผู้ส่งมอบ และฝ่ายต่างๆที่มีส่วนได้ส่วนเสียสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นก็คือมีการเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดของมาตรฐาน ISO 9001:2008 เป็น versionISO 9001:2015 โดยมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญๆ เช่น
 1. Process Approach  ที่เน้น Plan-Do-Check-Act Cycle และการนำแหล่งของปัจจัย ปัจจัยที่มีผลต่อกระบวนการ (Inputs)  กิจกรรมที่สนใจ  ผลที่ได้จากกระบวนการ (Outputs) และผู้ที่รับ Outputs มาเป็นข้อพิจารณาในการกำหนดและจัดวางระบบ หรือวิธีการทำงานที่ตอบสนองความต้องการต่างๆได้อย่างสม่ำเสมอและมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง

2.  Based Thinking เป็นแนวคิดแบบฐานความเสี่ยงที่กำหนดให้องค์กรต้องมีการกำหนดความเสี่ยงและโอกาสที่เกี่ยวเนื่องกับบริบทและStrategic Directions รวมทั้งความต้องการต่างๆ  ของแต่ละกระบวนการ  มาเป็นตัวกำหนดสิ่งที่จะต้องดำเนินการให้เกิด Preventive Actions  ไม่ให้เกิดความไม่สอดคล้องกับความต้องการต่างๆ

3.  เพิ่มเติม บริบท (Context) ขององค์กร เป็นข้อกำหนดใหม่ที่ต้องการให้องค์กรทราบประเด็นทั้งภายในและภายนอกที่เกี่ยวเนื่องกับPurpose และ Strategic Directions ขององค์กรเพื่อนำไปสู่การกำหนดความเสี่ยงและโอกาส

4.  องค์กรต้องทราบความต้องการของลูกค้า กฎหมายและความต้องการของฝ่ายต่างๆที่สนใจ (Interested parties) เพื่อนำไปสู่การกำหนดความเสี่ยงและโอกาส

5.  เน้นความเป็นผู้นำของผู้บริหาร (Leadership) โดยให้ผู้บริหารต้องแสดงความเป็นผู้นำ มีคำมั่นสัญญาต่อประสิทธิผลของระบบจำนวน10 ข้อ เช่น มีความ-สำนึกในประสิทธิผลของระบบบริหารคุณภาพ ส่งเสริม ProcessApproach และ Risk-Based Thinking และช่วยให้ผู้บริหารต่างๆได้แสดงบทบาทของความเป็นผู้นำเป็นต้น

6. ไม่มีชื่อเรียกตำแหน่ง QMR อีกต่อไปแต่ยังคงความรับผิดชอบและอำนาจไว้สำหรับบุคคลที่ผู้บริหารระดับสูงได้กำหนดขึ้นมาโดยมี 5 ข้อ เน้นการเป็นผู้มีส่วนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและมีนวัตกรรมจากการนำระบบบริหารคุณภาพมาใช้ในองค์กร

นี่เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงบางส่วนที่จะเกิดขึ้น หากท่านต้องการต้องการทราบรายละเอียดทั้งหมด สามารถตามไปอ่านได้ที่เวปไซด์ของเราครับ

แหล่งที่มา : อาจารย์เทวินทร์ สิริโชคชัยกุล  
บริษัท ไอโปร เทรนนิ่ง จำกัด
สนใจจัดอบบรมสัมมนา 
แบบ In-house/Public
Tel.089-926-5550