วันอังคารที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2559

แนวคิดโรงงานสีเขียวเพื่ออุตสาหกรรมที่ยั่งยืน (ตอนที่ 1)

  

   
     ปัจจุบันแนวคิดผลิตภาพสีเขียวที่มุ่งความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมีแนวโน้มพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกระแสความรับผิดชอบต่อสังคมหรือ CSR ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการให้ความสำคัญต่อการพัฒนารูปแบบธุรกิจสีเขียว ผลการศึกษาผู้บริโภคทั่วโลกของ บริษัท บอสตัน คอนซัลติง กรุ๊ป (Boston Consulting Group) หรือ BCG พบว่าผู้บริโภคเลือกซื้อสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเป็นอันดับแรกและ 73% ของชาวอเมริกันเห็นว่าประวัติผู้ประกอบการที่รณรงค์เรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นตัวแปรหลักในการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการ
ดังตัวอย่างบริษัทซีร็อกซ์สามารถประหยัดค่าออกแบบและต้นทุนการผลิตไม่น้อยกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์ ส่วนโตโยต้าใช้สายการผลิตเดียวกับรถยนต์หลายรุ่นจนประหยัดพลังงานในโรงงานกว่า 30% ดังนั้นการดำเนินธุรกิจด้วยความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจะสนับสนุนให้เกิดผลิตภาพสีเขียวและสร้างคุณค่าที่ตอบสนองความต้องการลูกค้า ทำให้แนวโน้มหลักที่มุ่งสู่ความเป็นองค์กรสีเขียวที่มุ่งความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย

    1. การใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้น เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของประชากรและการขยายตัวของพื้นที่เมือง ทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้ามากขึ้นและพลังงานสะอาดที่ไม่ได้มาจากเหมืองถ่านหินซึ่งสร้างมลภาวะและแก๊สเรือนกระจก อาทิ พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ เซลล์เชื้อเพลิงเหลว

    2. การบริหารทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิผล โดยมุ่งการใช้ซ้ำและรีไซเคิลมาใช้ใหม่เพื่อประหยัดน้ำที่ใช้ในการอุปโภคบริโภคมากที่สุด รวมทั้งปรับปรุงคุณภาพน้ำดื่มและตั้งโรงงานบำบัดเพื่อจัดการน้ำทิ้งจากอาคารบ้านเรือน

    3. การออกกฎหมายและนโยบายควบคุมการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยกำหนดมาตรฐานและข้อบังคับร่วมกับความสมัครใจในการควบคุมระดับการก่อมลพิษ ด้วยการลงนามร่วมกันระหว่างรัฐบาลประเทศต่าง ๆ ในอนาคตอาจมีการออกกฎหมายควบคุมระดับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของรถแต่ละคันและการเก็บภาษีรถที่สร้างมลพิษ เพื่อให้เกิดการควบคุมบนมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก

    4. การดำเนินธุรกิจตามวิถีองค์กรสีเขียว โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและสังคมที่มุ่งเสนอสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้กับผู้บริโภค รวมถึงการใช้เทคโนโลยีสะอาดและลดความสิ้นเปลืองการใช้พลังงาน

    5. ดำเนินการขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากสาเหตุการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สู่บรรยากาศเกิดจากกิจกรรมดังกล่าวมีสัดส่วนราว 1 ใน 3 ทำให้กระตุ้นการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนและพลังงานสะอาดที่ใช้กับรถยนต์ รวมทั้งรถยนต์ไฮบริดที่ใช้พลังงานไฟฟ้า

    6. แนวโน้มสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมออกสู่ท้องตลาดมากขึ้น เป็นผลจากกระแสตื่นตัวต่อปัญหาสิ่งแวดล้อม ทำให้ผู้ประกอบการมุ่งผลิตสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อตอบสนองความต้องการผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพและคุณภาพสิ่งแวดล้อมมากขึ้น 

    7. การพัฒนาแนวคิดเชิงระบบเพื่อวิเคราะห์ผลกระทบกิจกรรมการผลิตต่อสภาพแวดล้อม แต่เดิมประเด็นดังกล่าวจะพิจารณาประเมินตัวผลิตภัณฑ์ กระบวนการผลิต และโรงงานว่ากระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไร แต่ศตวรรษใหม่นี้จะพิจารณาทั้งระบบตลอดห่วงโซ่อุปทาน และพิจารณาผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมทั้ง ระดับชุมชน ระดับประเทศ และระดับโลก

    8. เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของประชากรและขยายตัวของเขตเมือง ทำให้เกิดการทำลายทรัพยากรธรรมชาติและมลภาวะมากขึ้น รวมทั้งความเปลี่ยนแปลงที่อยู่ของประชากรตามการขยายตัวของครอบครัว ทำให้สิ่งอำนวยความสะดวกและระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานขยายตัว

    9. ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ทำให้การติดต่อสื่อสารสะดวกและสามารถทำงานได้จากที่พักอาศัยแทนการเดินทางไปสำนักงาน ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายเดินทางมีแนวโน้มลดลงและสนับสนุนการพัฒนาแนวคิดสีเขียวเกิดประสิทธิผล

    10. อาคารสีเขียว สำหรับอาคารยุคใหม่มุ่งบริหารจัดการพลังงานภายในอาคาร ทำให้สถาปนิกและวิศวกรออกแบบอาคารภายใต้แนวคิดลดสภาวะโลกร้อน อาทิ การใช้แสงสว่างธรรมชาติให้อาคาร การใช้ระบบพลังงานทางเลือก ระบบบริหารจัดการน้ำแบบหมุนเวียนซ้ำ รวมทั้งปรับปรุงผังเมืองใหม่ให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เช่น การกำหนดพื้นที่สีเขียว การจัดพื้นที่รับอากาศบริสุทธิ์ในชุมชน ทำให้มีแนวโน้มว่าจะมีการกำหนดกฎเกณฑ์เข้มงวดเกี่ยวกับอาคารสีเขียวในอนาคต


   นอกจากนี้ประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ให้ความสำคัญต่อประเด็นดังกล่าว เนื่องจากไม่ได้มองปัญหาเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่มองเป็นความท้าทายสำคัญในมิติการพัฒนาประเทศ ทำให้ทิศทางแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 ให้ความสำคัญต่อนโยบายเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
โดยมีข้อเสนอให้ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศสู่เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ด้วยการส่งเสริมกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ เศรษฐกิจที่คำนึงถึงความสมดุลและยั่งยืนในการผลิตและบริโภค ส่งเสริมการผลิตสะอาด การลงทุนในภาคการผลิตที่เน้นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

   
   โดยกำหนดมาตรการจูงใจทางเศรษฐศาสตร์ทั้งการเงิน การคลัง การปรับระบบภาษี และมาตรการทางการตลาด ควบคู่กับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและแบบแผนการบริโภคของสังคมให้มุ่งสู่ความยั่งยืน เพื่อนำไปสู่ “สังคมเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ” โดยกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาเพื่อตอบสนองและรองรับการดำเนินงานเรื่องนี้ ทั้งในด้านยุทธศาสตร์การพัฒนาคนและยุทธศาสตร์การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดยมีมาตรการเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องนี้หลายประการ เช่น การจัดทำระบบ National Registry System สำหรับการจัดตั้งตลาดคาร์บอนต่อไปในอนาคต กำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไขและวิธีการจัดเก็บภาษีสิ่งแวดล้อม เป็นต้น


   ทิศทางของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 ในทิศทางการพัฒนาไปสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ นับเป็นการส่งสัญญาณต่อการปรับทิศทางการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะหน่วยงานหลักเกี่ยวข้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอย่าง กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนสู่อุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) ที่มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ตลอดทั้งทั้งภายในและภายนอกตลอดห่วงโซ่อุปทาน
 โดยแนวคิดอุตสาหกรรมสีเขียวเป็นการจัดการภาคอุตสาหกรรมที่ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ การหมุนเวียนของเสียกลับมาใช้ใหม่ (Waste Recovery) การป้องกันปัญหามลพิษโดยใช้เทคโนโลยีสะอาด (Clean Technology) รวมทั้งการผลิตสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Eco Product) โดยมีการแลกเปลี่ยนของเสียที่จะเป็นวัตถุดิบให้กับโรงงานอื่น (Industrial Symbiosis) โดยเน้นของเหลือใช้และของเสียกลับมาใช้ใหม่ตามหลักการ 3R's ได้แก่ Reuse Reduce Recycle


   ดร.วิฑูรย์ สิมะโชคดี ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวถึงความเป็นมาโครงการอุตสาหกรรมสีเขียวว่าประเทศไทยมุ่งสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development) ตามที่ได้ให้สัตยาบันรับรองปฏิญญาโจฮันเนสเบิร์ก เมื่อปี  2545 และปฏิญญามะนิลาว่าด้วยอุตสาหกรรมสีเขียว เมื่อปี 2552  กระทรวงอุตสาหกรรมกำหนดยุทธศาตร์พัฒนาอุตสาหกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมและสังคม โดยดำเนินการเชิงรุกมุ่งเน้นการส่งเสริมและพัฒนาภาคอุตสาหกรรมให้เติบโตอย่างยั่งยืน
 จึงได้เริ่มโครงการอุตสาหกรรมสีเขียว เพื่อส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมให้ดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสังคม โดยมุ่งให้ภาคอุตสาหกรรมมีภาพลักษณ์ที่ดี น่าเชื่อถือ และประชาชนไว้วางใจ และสร้างเศรษฐกิจสีเขียว ทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมสีเขียวของประเทศ (Green GDP) มีมูลค่าสูงขึ้นด้วย ทั้งนี้การพัฒนาอย่างต่อเนื่องสู่ความเป็นอุตสาหกรรมสีเขียว 5 ระดับ คือ

     ระดับที่ 1 ความมุ่งมั่นสีเขียว (Green Commitment) คือ ความมุ่งมั่นที่จะลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและมีการสื่อสารภายในองค์กรให้ทราบโดยทั่วกัน
     ระดับที่ 2 ปฏิบัติการสีเขียว (Green Activity) คือ การดำเนินกิจกรรมเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้สำเร็จตามความมุ่งมั่นที่ตั้งไว้
     ระดับที่ 3 ระบบสีเขียว (Green System) คือ การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบมีการติดตามประเมินผลและทบทวนเพื่อการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการได้รับรางวัลด้านสิ่งแวดล้อมที่เป็นที่ยอมรับและการรับรองมาตรฐานสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ
     ระดับที่ 4 วัฒนธรรมสีเขียว (Green Culture) คือ การที่ทุกคนในองค์กรให้ความร่วมมือร่วมใจดำเนินงานอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในทุกด้านของการประกอบกิจการจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมองค์กร
     ระดับที่ 5 เครือข่ายสีเขียว (Green Network) แสดงถึงการขยายเครือข่ายตลอดห่วงโซ่อุปทานสีเขียว โดยสนับสนุนให้คู่ค้าและพันธมิตรเข้าสู่กระบวนการรับรองอุตสาหกรรมสีเขียวด้วย

ที่มา: http://green.industry.go.th


     การดำเนินการที่ผ่านมา กระทรวงอุตสาหกรรมแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาและดำเนินโครงการอุตสาหกรรมสีเขียวและคณะอนุกรรมการ 3 คณะ ได้แก่ คณะอนุกรรมการให้การรับรองอุตสาหกรรมสีเขียว คณะอนุกรรมการกำหนดหลักเกณฑ์สิทธิประโยชน์ และคณะอนุกรรมการประชาสัมพันธ์อุตสาหกรรมสีเขียว ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวถึงแนวทางดำเนินการ โดยกำหนดนโยบายให้หน่วยงานราชการเกี่ยวข้องนำเสนอแนวทางกำหนดหลักเกณฑ์หรือสิทธิประโยชน์ให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรม
 รวมถึงเผยแพร่ให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่ในภูมิภาคเพื่อสร้างความเข้าใจและสามารถถ่ายทอดความรู้สู่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมในพื้นที่ให้เข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญของการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน ภายใต้กรอบแนวคิดการพัฒนาและดำเนินโครงการอุตสาหกรรมสีเขียวของกระทรวงอุตสาหกรรมที่เป็นโครงการในเชิงรุก ด้าน นายวิกรม กรมดิษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมตะคอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวถึงแนวทางบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะเพื่อให้เป็นเมือง สมาร์ทซิตี้ โดยให้ทุกคนทำงานร่วมกับอุตสาหกรรมได้ เป็นเมืองประหยัดพลังงาน และจัดสรรให้มีพื้นที่สีเขียว
รวมทั้งทำเขตกันชนระหว่างอุตสาหกรรมกับชุมชน โดยใช้พื้นที่ดังกล่าวสำหรับติดตั้งกังหันลม นำมาผลิตเป็นพลังงานไฟฟ้า หลังคาโรงงานที่หันไปทางทิศเหนือและทิศใต้ ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ โดยนิคมสามารถผลิตไฟฟ้าจากขยะและระบบลมร้อนจากแอร์ ได้ 400 เมกะวัตต์ รวมทั้งมุ่งการวิจัยและพัฒนาเพื่อแปรรูปพลังงานของเสียให้นำกลับมาใช้ได้ใหม่


   เนื่องจากกระบวนการผลิตของภาคอุตสาหกรรม คือ สาเหตุหลักที่สร้างมลพิษ โดยเฉพาะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน ทำให้ผู้ประกอบการที่มีจิตสำนึกรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตเพื่อลดปัญหามลพิษ โดยใช้เทคโนโลยีและระบบบริหารจัดการ รวมทั้งการสร้างเครือข่ายสีเขียว เพื่อร่วมพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างสมดุลยั่งยืน รวมทั้งให้ความสำคัญกับการพัฒนาสถานประกอบการสู่โรงงานสีเขียว (Green Factory) ที่มีการดำเนินการแสวงหาผลกำไรที่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด
 โดยมุ่งการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องทางด้านผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิตเพื่อเพิ่มความสามารถการแข่งขันให้องค์กร โดยคำนึงถึงการเลือกใช้วัตถุดิบและเทคโนโลยีที่เหมาะสมในการกำจัดความสูญเปล่าต่าง ๆ อาทิ การใช้วัตถุดิบสิ้นเปลืองไม่คุ้มค่า การใช้พลังงานไม่มีประสิทธิภาพ เกิดขยะของเสียในสายการผลิตจำนวนมากและสถานที่ทำงานไม่ปลอดภัย องค์กรชั้นนำภาคการผลิตได้ปรับปรุงผลิตภาพด้วยการวิเคราะห์ปัจจัยหลัก ดังนี้

 กระบวนการผลิต (Manufacturing Process) ประกอบด้วย เครื่องจักรและระบบสนับสนุนการแปรรูปทรัพยากรการผลิต เช่น เครื่องกลึง อุปกรณ์จับยึด เครื่องมือทดสอบ เป็นต้น
 ระบบการผลิต (Manufacturing System) เป็นการบูรณาการขั้นตอนการผลิตกับทรัพยากรแรงงานเพื่อเชื่อมโยงการทำงานและระบบขนถ่ายเพื่อเคลื่อนย้ายทรัพยากรระหว่างสายการผลิต
 การเพิ่มคุณค่า (Value Added) คือ กิจกรรมที่สร้างคุณค่าให้กับผลิตผลจากกระบวนการที่สามารถตอบสนองความต้องการและสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า
 กิจกรรมที่ไม่สร้างคุณค่าเพิ่ม (Non-Value Added) เป็นกิจกรรมเกี่ยวเนื่องกับการผลิต แต่กิจกรรมเหล่านี้ไม่สร้างคุณค่าหรือตอบสนองความต้องการต่อลูกค้า ซึ่งต้องดำเนินการขจัดออกจากระบบ  


   โดยความสูญเปล่าที่เกิดในภาคอุตสาหกรรมมักแฝงในรูปของเสียหรือกิจกรรมที่ไม่สร้างคุณค่าเพิ่มและการใช้ทรัพยากรไม่มีประสิทธิภาพ ดังนั้นการควบคุมความสูญเปล่าควรวิเคราะห์ที่มุ่งเพิ่มคุณค่าด้วยการปรับปรุงกระบวนการ ความสูญเปล่าอาจแสดงด้วยความสิ้นเปลือง (Wastage) จำแนกได้เป็น 

     1. ความสิ้นเปลืองโดยธรรมชาติ ประกอบด้วย ความสูญเปล่าที่หลีกเลี่ยงได้และหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตัวอย่างความสูญเปล่าที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เช่น ฝุ่นขี้เลื่อย เศษโลหะที่เกิดจากการกลึง การหดตัวของวัตถุดิบในกระบวนการแปรรูป เป็นต้น

     2. ความสิ้นเปลืองทางทรัพยากร ประกอบด้วย ความสิ้นเปลืองแรงงาน วัตถุดิบ เครื่องจักร และการจัดการวัสดุ (Material Management) เป็นสาเหตุก่อให้เกิด
 ความล้าสมัย (Obsolete) โดยเฉพาะวัตถุดิบและเครื่องจักรที่ไม่มีความเสียหาย แต่ไม่ได้ถูกใช้เป็นระยะเวลาหนึ่งและเกิดการเสื่อมมูลค่า เนื่องจากการปรับเปลี่ยนสายการผลิต และการนำระบบอัตโนมัติมาใช้งาน
 สิ่งที่เหลือใช้ (Surplus) โดยทรัพยากรหรือสินทรัพย์ต่าง ๆ ไม่ได้ถูกใช้งานทันทีหลังจากที่ได้รับการส่งมอบ แต่ถูกจัดเก็บสะสมไว้ซึ่งอาจส่งผลต่อระดับสต็อกที่เกิดจากการวางแผนหรือการพยากรณ์ที่ผิดพลาด
 เศษของเสีย (Scrap) เป็นความสูญเปล่าจากกระบวนการแปรรูป อาทิ การกลึง การกว้าน

     3. ความสิ้นเปลืองที่เกิดจากสาเหตุความผิดพลาดในการวางแผน อาทิ ความสิ้นเปลืองจากการออกแบบ ความบกพร่องของฝ่ายจัดซื้อ การจัดเก็บและการแปรรูป
แนวคิดการบริหารทรัพยากร


     สำหรับผู้ประกอบการที่มุ่งแนวคิดลีน (Lean Manufacture) พิจารณาแนวทางมุ่งสู่ความเป็นโรงงานสีเขียวที่สามารถดำเนินกิจกรรมพื้นฐาน อาทิ ลดการใช้ทรัพยากรที่ไม่สามารถนำกลับมาใช้ได้ใหม่ ขจัดความสิ้นเปลืองการใช้ปัจจัยการผลิต (พลังงาน วัตถุดิบ และแรงงาน) ปรับปรุงกระบวนการทำงานให้มีความเรียบง่ายไม่ซับซ้อนและสร้างความสัมพันธ์กับแหล่งชุมชนโดยรอบ ส่วนการปรับปรุงผลิตภาพโรงงานจะมุ่งเน้นการขจัดความสูญเปล่าทั้ง 7 ประการ ประกอบด้วย

   1.การลดความสูญเปล่าจากการผลิตเกินความจำเป็น โดยมุ่งผลิตตามคำสั่งซื้อและปรับเวลากระบวนการให้สอดคล้องกับปริมาณการผลิต

   2. การลดความสูญเปล่าจากการรอคอย สามารถดำเนินการ ดังนี้
 ปรับการไหลของงานให้สอดคล้องกับกระบวนการเพื่อลดปัญหาการรอคอย
 จัดสรรภาระแรงงานและเครื่องจักรให้เกิดสมดุลสายการผลิต (Line Balancing)
 ดำเนินกิจกรรมบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (Preventive Maintenance) เพื่อลดปัญหาเครื่องจักรขัดข้อง ซึ่งเป็นสาเหตุการรอคอย

   3. การลดความสูญเปล่าจากการขนส่ง
 ปรับปรุงการวางผังโรงงาน โดยมุ่งความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายงานที่เกี่ยวข้องให้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน เช่น การจัดสายการประกอบสุดท้ายให้อยู่ใกล้สโตร์เพื่อลดระยะทางขนส่ง
 ระบุแนวทางปรับปรุงเพื่อลดปริมาณการขนถ่าย โดยเฉพาะการจัดหาอุปกรณ์ขนถ่ายที่มีความยืดหยุ่น
 การดำเนินกิจกรรม 5ส

  4. การลดความสูญเปล่าจากกระบวนการที่ไม่สร้างคุณค่าเพิ่ม
 วิเคราะห์ขั้นตอนการทำงานโดยรวมด้วยการใช้ผังการไหลกระบวนการ (Flow  Process Chart) เพื่อพิจารณาว่ากิจกรรมใดมีความจำเป็นและเกิดคุณค่าเพิ่ม
 ระบุแนวทางขจัดความสูญเปล่าด้วยหลักการวิศวกรรมอุตสาหการเพื่อปรับลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็นออก
 ใช้หลักการวิศวกรรมคุณค่า (Value Engineering) โดยเฉพาะช่วงการออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อลดความซับซ้อนขององค์ประกอบชิ้นส่วน

  5. การลดความสูญเปล่าจากการเก็บสินค้าคงคลัง
 ปรับการไหลของงานให้เกิดความต่อเนื่องเพื่อลดการสะสมของงานระหว่างผลิต
 ลดปริมาณการจัดซื้อคราวละมาก ๆ โดยจัดทำแผนจัดซื้อให้สอดคล้องกับกำหนดการผลิตและสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับคู่ค้า 
 สร้างระบบการผลิตแบบทันเวลาพอดี (Just  In Time)

  6. การลดความสูญเปล่าจากการเคลื่อนไหว
 ศึกษาหลักการเคลื่อนไหวอย่างประหยัด (Motion Economy) และหลักการเออร์โกโนมิกเพื่อให้การทำงานเกิดผลิตภาพและลดความเมื่อยล้าในการทำงาน
 ปรับปรุงการเคลื่อนไหว โดยใช้กลไกและระบบสนับสนุน
 ปรับลำดับขั้นตอนการทำงานเพื่อให้เป็นมาตรฐาน

  7. ลดความสูญเปล่าจากการผลิตของเสีย
 พัฒนาวิธีการทำงาน เพื่อป้องกันการเกิดของเสียซ้ำ
 สร้างระบบการประกันคุณภาพให้ทุกกระบวนการที่เกี่ยวข้องเพื่อไม่ให้เกิดการส่งต่อของเสียกับกระบวนการถัดไป
 ลดความซับซ้อนของกระบวนการ โดยพัฒนาเทคนิคช่วงการออกแบบ


ประเภทความสูญเปล่า

   เนื่องจากความเป็นโรงงานสีเขียว คือความมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อชุมชนและสังคม ดังนั้นผู้บริหารโรงงานจะต้องมีความมุ่งมั่นต่อความสำเร็จในกิจกรรมพื้นฐานที่เป็นรากฐานการพัฒนาปรับปรุงอย่างต่อเนื่องที่จะลดการปลดปล่อยมลพิษสู่อากาศและน้ำ ที่ไม่เพียงแค่มุ่งประเด็น 3R คือ Reduce (ลดการใช้วัตถุดิบที่ไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่) Reuse (การนำกลับมาใช้ใหม่) Recycle (การนำกลับมาใช้ใหม่โดยผ่านกระบวนการแปรรูป) ที่เป็นส่วนหนึ่งของเทคโนโลยีสะอาดและผลิตภาพสีเขียว (Green Productivity) แต่ครอบคลุมถึงประเด็นร่องรอยคาร์บอน (Carbon Footprint)
ดังนั้นการพัฒนาสู่โรงงานสีเขียวอาจเกิดขึ้นได้ยาก หากภาครัฐไม่เห็นความสำคัญและกำหนดเป็นแผนพัฒนาที่ให้การสนับสนุนต่อเนื่อง รวมทั้งทุกภาคส่วนให้ความร่วมมือในการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมุ่งมั่นปรับปรุงกระบวนการเพื่อลดการปลดปล่อยมลพิษจากต้นทาง (Source Reduction) ไม่ใช่เพียงแค่การบำบัดที่ปลายทาง (End of Pipe Treatment) ซึ่งมีต้นทุนสูง

     ดังกรณี บริษัท คิมเบอร์ลี่ย์-คล๊าค (Kimberly-Clark) ที่มีจิตสำนึกในการปกป้อง ดูแล และรักษาสิ่งแวดล้อมให้คงอยู่ยั่งยืน เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งพนักงาน ลูกค้า และชุมชนใกล้เคียง โดยบริษัทให้ความสำคัญในการดำเนินโครงการสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ โครงการR3: Reduce, Recycle, Replant ประกอบด้วยหลักการรักษาสภาพแวดล้อม ดังนี้

 Reduce: การลดต้นเหตุของขยะ โดยออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้สินค้าใช้ได้นานขึ้นและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
 Recycle: การนำเยื่อกระดาษรีไซเคิลมาผสมกับเยื่อบริสุทธิ์ชั้นดีเพื่อผลิตสินค้าบางประเภทให้มีการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าที่สุด
 Replant: โครงการปลูกป่าทดแทนเพื่อฟื้นฟูและดูแลทรัพยากรธรรมชาติ โดยปลูกจิตสำนึกพนักงานและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรอย่างมีคุณค่า

    โดยคิมเบอร์ลี่ย์-คล๊าค มีนโยบายไม่ใช้เยื่อกระดาษจากป่าไม้เขตร้อน และมาตรการเลือกซื้อเยื่อกระดาษจากผู้จำหน่ายที่ปฏิบัติตามข้อบังคับด้านสิ่งแวดล้อมที่ผ่านการรับรองการประกอบ อุตสาหกรรมป่าไม้ และเยื่อกระดาษจากสถาบันดูแลรักษาป่าเท่านั้น บริษัทมีมาตรการงดใช้สารเคมีที่อาจก่อให้เกิดมลพิษต่อผู้บริโภคในกระบวนการผลิต เช่น นโยบายไม่ใช้สารคลอรีนและเยื่อกระดาษที่ผ่านการฟอกย้อมในกระบวนการผลิตกระดาษ
เนื่องจากการใช้สารคลอรีนในกระบวนการผลิตจะก่อให้เกิดสารไดอ๊อกซิน ซึ่งเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตในน้ำ แต่ละปีบริษัทมีเป้าหมายลดพลังงานที่ชัดเจนและความมุ่งมั่นพัฒนาโรงบำบัดน้ำเสียจนได้รับการยอมรับให้เป็นหนึ่งในระบบบำบัดน้ำเสีย ตัวอย่างที่ถูกใช้เป็นต้นแบบแก่บริษัทอื่นทั่วประเทศ นอกจากนี้บริษัทคำนึงถึงสภาพชุมชนรอบข้าง โดยดำเนินธุรกิจอย่างเคร่งครัดภายใต้ข้อกำหนดภาครัฐและมุ่งใช้ทรัพยากรธรรมชาติแบบยั่งยืน รวมถึงประหยัดพลังงาน 

   สำหรับผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าค่ายญี่ปุ่นอย่างโตชิบา ได้ประกาศพันธสัญญาที่เป็นคำมั่นจาก โนริโอะ ซาซากิ (Norio Sasaki) ผู้บริหารระดับสูงคือ “ความมุ่งมั่นที่ทำให้โตชิบาสามารถก้าวสู่ความเป็น Eco Company แห่งแรกก่อนใคร” สะท้อนให้เห็นว่าการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมของโตชิบามิได้จำกัดเพียงแค่ การดำเนินกิจกรรม CSR เท่านั้น แต่ยังมุ่งประเด็นในสามมิติหลักคือ กระบวนการสีเขียว (Greening of Process), ผลิตภัณฑ์สีเขียว (Greening of Products) และ เทคโนโลยีสีเขียว (Greening by Technology) ดังนั้นโตชิบามิได้วางกรอบยุทธศาสตร์สีเขียวที่มุ่งแคมเปญทางการตลาด (Marketing Campaign) เท่านั้น แต่ให้ความใส่ใจสิ่งแวดล้อมตั้งแต่กระบวนการผลิตระดับต้นน้ำจนถึงปลายน้ำที่เน้นการรีไซเคิล

   โตชิบา เริ่มหันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ปี 2534 กระทั่งปี 2550 โตชิบาประกาศใช้แนวคิด นวัตกรรมสีเขียว เพื่อโลกสีขาว (Green Innovation for White World) เป็นทั้งนโยบายองค์กร (Corporate Policy) และนโยบายการตลาด(Marketing Strategy) เพื่อสร้างความแตกต่างระหว่างโตชิบากับเครื่องใช้ไฟฟ้าตราสินค้าอื่น
กอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ กล่าวถึงแนวคิด Green Innovation หมายถึง การผลิตและจำหน่ายสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งประหยัดพลังงาน ตั้งแต่กระบวนการผลิตสินค้าที่ปรับปรุงให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและตั้งโรงงานรีไซเคิลหลอดไฟ โดยลดการใช้วัสดุที่เป็นพิษกับสิ่งแวดล้อม เช่น สารตะกั่ว สารปรอท สารแคดเมียม สารโครเมียม ตามมาตรฐาน RoHS (Restriction of Hazardous Substances) รวมถึงลดจำนวนนอต สกรู และออกแบบให้ประหยัดพลังงาน เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด ส่วนการผลิตสินค้าใหม่จะพิจารณาประเด็น Innovation, Eco Design, Eco Factory ว่าอยู่ระดับใด หากว่าสูงกว่าสินค้าตัวเก่าที่เคยผลิต ก็จะไม่ได้รับการผลิต

โตชิบามุ่งขับเคลื่อนนโยบายสิ่งแวดล้อม 5 Green ประกอบด้วย
 Green Company โดยมุ่งบริหารจัดการผลิตและสร้างจิตสำนึกในองค์กรให้ก้าวสู่การประหยัดพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อม
 Green Service บริการเพื่อแก้ปัญหาและสร้างความพอใจแก่ผู้บริโภค โดยเน้นความปลอดภัยและการรักษาสิ่งแวดล้อม 
 Green Products คือ สินค้าต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมทุกขั้นตอน ตั้งแต่การออกแบบ จัดหาวัตถุดิบ การผลิต การบรรจุหีบห่อ การขนส่ง รวมทั้งการรีไซเคิล ส่วนที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ต้องมีการทำลายอย่างถูกวิธีเพื่อไม่ก่อมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม
 Green Purchasing เป็นการเลือกซื้อสินค้าหรือวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจาก Green Company
 Green Society  คือ ความมีส่วนร่วมกับภาคสังคมทั้งประชาชนและร้านค้าเพื่อร่วมรณรงค์รักษาสิ่งแวดล้อม เช่น การปลูกป่าชายเลน ป่าปะการัง เป็นต้น

    ช่วงปลายปี 2552 โตชิบา ไทยแลนด์ วางแผนที่จะเพิ่มตัวแทนจำหน่ายสีเขียว (Green Dealer) มากขึ้น เพื่อส่งเสริมให้ตัวแทนจำหน่ายใส่ใจการทำตลาดสีเขียว (Green Marketing) ก่อนช่วงเวลาดังกล่าว โตชิบาร่วมกับต้วแทนจำหน่ายเพื่อรณรงค์ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคให้ซื้อสินค้าที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม พร้อมสร้างโลโก้ ทีจัง (T-Chan) เป็นสัญลักษณ์ Green Innovation ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้สินค้าอย่างถูกวิธีเพื่อยืดอายุการใช้งานและประหยัดพลังงานไฟฟ้า หาก Toshiba Group สามารถเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้บริโภคทั้งสามมิติด้วย เทคโนโลยี, กระบวนการผลิต และสินค้าที่เน้นตอบสนองกลุ่มลูกค้าที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ย่อมส่งผลต่อภาพลักษณ์องค์กรทั่วโลก

    โดยสัญลักษณ์ Toshiba Eco Style ถือเป็นส่วนหนึ่งของแนวคิดสีเขียว (Green Concept) ทำให้แคมเปญ นวัตกรรมสีเขียวเพื่อโลกสีขาว ตอบโจทย์ 'โตชิบา นำสิ่งที่ดีสู่ชีวิต' เป็นการสร้างมูลค่าให้กับตราสินค้าในเชิงการตลาดเพื่อสังคม ที่มุ่งสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจมากกว่าเพียงแค่สนองความต้องการของลูกค้า ตามรายงานนิตยสาร Entrepreneur เคยระบุถึงแนวโน้มธุรกิจสีเขียวจะกลายเป็นแนวโน้มหลักของธุรกิจยุคใหม่ ทำให้นวัตกรรมสีเขียวไม่เพียงแค่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคที่ตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมแล้ว แต่ช่วยให้ขยายฐานลูกค้าองค์กรที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม (Green Corporation)
         

     ทางด้านผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟฟ้าค่ายญี่ปุ่นอีกราย คือ บริษัท พานาโซนิคอีโคเทคโนโลยี เซ็นเตอร์ (Panasonic Eco Technology Center) หรือ PETEC ตั้งอยู่ที่จังหวัดเฮียวโก (Hyogo) ประเทศญี่ปุ่น กลายเป็นศูนย์กลางรีไซเคิล ครบวงจร ภายใต้แนวคิด "ผลิตภัณฑ์เพื่อผลิตภัณฑ์" คือ การนำขยะกลับมาใช้ใหม่ให้มากที่สุด PETEC มีแผนกวิจัยกลุ่มสินค้าต่าง ๆ เพื่อหาแนวทางรีไซเคิลให้เหมาะสม การตื่นตัวปัญหาภาวะโลกร้อนและการบังคับใช้กฎหมายสิ่งแวดล้อมของญี่ปุ่นที่เข้มงวดขึ้น ทำให้ PETEC นำร่องโครงการรีไซเคิลสินค้า 4 กลุ่ม คือ โทรทัศน์ เครื่องซักผ้า เครื่องปรับอากาศ และตู้เย็น

    โดยวางเป้าหมาย “Green Product-Green Factory” ใช้วัสดุที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมและไม่ปล่อยของเสีย พานาโซนิคคอร์ปตั้งเป้าลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลก 1 แสนตันในปี 2551 และเพิ่มเป็น 3 แสนตัน ในปี 2553 ส่วนโรงงานที่เมืองชิกะ ประเทศญี่ปุ่นเป็นฐานการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทเครื่องปรับอากาศ (Air Conditioner Factory) ที่นำหลัก ECO Ideas เพื่อให้พานาโซนิคก้าวสู่ความเป็นโรงงานเพื่อสิ่งแวดล้อม (Environmental Company) เป็นนโยบายหลักของพานาโซนิค โดยมีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่บรรยากาศ

    ทาง พานาโซนิค ตั้งแผนภายใน "GP3" เป็นนโยบายของบริษัทแม่ที่วางกฎเกณฑ์ทำงานทั้งในส่วนโรงงานผลิตและฝ่ายการขายของพานาโซนิคทั่วโลก โดยแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ การให้พานาโซนิคเป็นองค์กรสากล (Global Progress) กลยุทธ์ด้านกำไร (Global Profit) และขยายตลาดสู่ภายนอกประเทศญี่ปุ่น (Global Panasonic) นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้มีการผลิตสินค้าเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น ฮีทปั้ม (Heat Pump) ช่วยลดความร้อนจากเครื่องใช้ไฟฟ้าให้น้อยที่สุด เทคโนโลยีนี้ได้ถูกใช้ในแอร์ ตู้เย็นและเครื่องอบผ้า ทำให้ลดการใช้ไฟฟ้า ทางพานาโซนิคคิดค้นแผ่นฉนวนที่สามารถลดความร้อนได้ 10 เท่าเพื่อใช้ในตู้เย็น เครื่องต้มน้ำร้อน กระติกน้ำร้อน สะท้อนถึงโรงงานแห่งนี้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ที่ไม่เพียงแค่การสื่อกับตลาดและลูกค้าภายนอกให้ได้รับรู้ แต่พานาโซนิคมุ่งปลูกฝังและสร้างความรู้สึกถึงความเป็นโรงงานเพื่อสิ่งแวดล้อมให้กับสังคม

    ดังนั้น Eco Ideas คือ แนวคิดการตลาดของพานาโซนิค ที่อยู่บนหลักการ 3 ประการ คือ การประหยัดพลังงาน วัตถุดิบในการผลิตต้องไม่มีสารพิษต้องห้าม 6 ชนิดตามมาตรฐาน RoHS ได้แก่ ปรอท, ตะกั่ว, แคดเมียม, โครเมียม, โพลีโบรมิเนต ไบฟีนิล และโพลีโบรมิเนต ไดอีเทอร์ หากผู้ผลิตรายใดไม่สามารถปฏิบัติตามมาตรฐาน RoHS จะไม่สามารถส่งสินค้าเข้าไปจำหน่ายในยุโรปได้ และโรงงานทุกแห่งของพานาโซนิคจะต้องได้รับการรับรองมาตรฐานสิ่งแวดล้อม ISO 14001

   แนวคิดการรักษาสิ่งแวดล้อมของพานาโซนิคแบ่งเป็น 3 หัวข้อ คือ Eco ideas for Product, Eco Ideas for Manufacturing และ Eco Ideas for Everybody Everywhere ล่าสุด พานาโซนิคประกาศปฏิญญารักษาสิ่งแวดล้อม Eco Ideas Declaration กับประเทศในเอเชียแปซิฟิก รวมทั้งจัดกิจกรรม Panasonic Eco Ideas Experience Road Show เพื่ออธิบายให้ผู้บริโภคเข้าใจถึงแนวคิดการตลาดสีเขียวของพานาโซนิค เนื่องจากผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสนใจการประหยัดพลังงาน ทำให้การจัดกิจกรรมดังกล่าวช่วยให้ผู้บริโภครู้จักตราสินค้าที่ช่วยประหยัดพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อม

   ฮิโรทากะ มุราคามิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทพานาโซนิค ประเทศไทย กล่าวว่า 'เราต้องการให้ผู้บริโภครับรู้ว่าพานาโซนิค คือ Eco หรือธุรกิจที่รักษาสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจ' นอกจากนี้พานาโซนิคยังใช้ Eco Ideas สื่อสารถึงผู้บริโภครุ่นใหม่ที่จะเป็นลูกค้าอนาคต โดยเฉพาะการปลูกฝังประเด็นทางสิ่งแวดล้อม เป็นปัจจัยหลักในการพิจารณาเลือกซื้อสินค้าต่าง ๆ ที่สามารถตอบโจทย์เรื่องพลังงานและสิ่งแวดล้อม นั่นคือ Save Earth Save Energy และ Save Money ให้ผู้บริโภค
แนวคิดออกแบบเพื่อสิ่งแวดล้อม
          
    สำหรับ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ให้ความสำคัญกับการทำกิจกรรมส่งเสริมสังคม โดยเน้นความมีส่วนร่วมตั้งแต่พนักงานภายในองค์กร เครือข่ายธุรกิจและบริษัทในเครือ พร้อมส่งเสริมความมีส่วนร่วมของลูกค้า ชุมชนและสังคมเพื่อร่วมผลักดันสังคมให้พัฒนาเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งนี้เป็นการเดินตามแนวทางวิสัยทัศน์ระดับโลก(Global Vision 2020)ของบริษัทแม่โตโยต้า โดยมีหลักการว่า "วัฏจักรธรรมชาติกับวัฏจักรอุตสาหกรรมจะสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืนและยั่งยืนตลอดไป" ดังนั้นแนวคิดโรงงานแห่งความยั่งยืนของโตโยต้าครอบคลุมกิจกรรมหลัก คือ การลดการใช้พลังงานและทรัพยากรธรรมชาติ การใช้พลังงานทดแทนและการฟื้นฟูป่า

    แนวคิดดังกล่าวทำให้ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ปรับปรุงกระบวนผลิตและระบบขนส่ง อาทิ ปรับปรุงการใช้พลังงานของเครื่องอัดอากาศ การลดจำนวนเที่ยวในการขนส่งโดยใช้รถขนส่งขนาดใหญ่ขึ้น การคัดเลือกแหล่งจัดหาชิ้นส่วนที่เหมาะสมเพื่อลดการขนส่งและการเปลี่ยนประเภทบรรจุภัณฑ์ ทำให้ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โตโยต้า ประเทศไทย
เริ่มทำกิจกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังตั้งแต่ปี 2549 ด้วยนโยบายบริษัทแม่ที่กำหนดให้สาขาแต่ละประเทศนำ Toyota Earth Charter จากโตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น สำนักงานใหญ่ มาใช้กำหนดนโยบายสิ่งแวดล้อมและเป้าหมายดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อมทั้งระยะสั้นและยาวของบริษัท
  วิสัยทัศน์ระดับโลกของโตโยต้า (Global Vision 2020)


    ช่วงเดือนมีนาคมปี 2550 โตโยต้าได้ก่อสร้างโรงงานใหม่ที่ อำเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยผลักดันให้โรงงานแห่งนี้ก้าวสู่โรงงานแห่งความยั่งยืน (Sustainable Plant) ภายใต้ปรัชญาความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Eco–Friendly) แสดงเจตนารมณ์ด้วยการผลิตรถยนต์ทุกรุ่นให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยนำเทคโนโลยีอนุรักษ์พลังงาน การจัดการมลภาวะ พันธกิจที่มีต่อโรงงานบ้านโพธิ์ คือ ส่งเสริมความแข็งแกร่งในด้านการบริหาร  ระบบการผลิต เพื่อเป็นโรงงานที่มีความสามารถแข่งขันระดับโลก อีกทั้งตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคมในชุมชนและสังคมไทย

    โรงงานโตโยต้า บ้านโพธิ์ ได้รับการยอมรับว่า เป็นโรงงานทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียและถูกคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 5 โรงงานต้นแบบของโตโยต้าทั่วโลก ภายใต้โครงการ “โรงงานแห่งความยั่งยืน” ที่ต้องลดการใช้พลังงาน การเปลี่ยนรูปพลังงานและให้ชุมชนมีส่วนร่วม โรงงานโตโยต้า บ้านโพธิ์ เป็นโรงงานต้นแบบเพื่อสิ่งแวดล้อม (Ecological Factory) ที่มีระบบบริหารจัดการที่ดีหลายด้าน อาทิ การอนุรักษ์พลังงานโดยติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าชนิดพลังงานความร้อนร่วม (Co-Generator) โดยใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้า รวมถึงการติดตั้งเซลล์พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cell) ที่อาคารสำนักงานเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าใช้ภายในที่ทำงาน สามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่บรรยากาศกว่า 8,500 ตันต่อปี

    การจัดการด้านมลภาวะทางอากาศด้วยการนำเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง โดยนำระบบการพ่นสีรถยนต์ที่ใช้น้ำเป็นตัวทำละลาย มีคุณภาพดีกว่าการใช้สีผสมทินเนอร์ การนำหุ่นยนต์มาใช้ในกระบวนการพ่นสี การติดตั้งเตาเผาอุณภูมิสูง(Regenerative Thermal Oxidizer Incinerator) เพื่อลดปริมาณสารระเหยไฮโดรคาร์บอน และมลภาวะอากาศ ที่ปล่อยออกสู่บรรยากาศ การจัดการขยะ ทำให้โตโยต้า สามารถนำขยะไปรีไซเคิลได้กว่า 80%  การจัดการมลภาวะทางน้ำ ที่มีกระบวนการบำบัดน้ำที่ใช้แล้วให้ได้คุณภาพ โดยมีดัชนีคุณภาพน้ำทิ้งเข้มงวดกว่าค่ามาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนดถึง 20%


แนวทางสู่โรงงานแห่งความยั่งยืนของโตโยต้า


     ช่วงต้นปี 2551 โตโยต้า เปิดตัว โครงการป่านิเวศในโรงงาน (Eco-Forest) ขึ้นในโรงงานโตโยต้า บ้านโพธิ์ เพื่อเน้นถึงวิสัยทัศน์ความเป็นองค์กรแบบ Eco–Friendly โดยช่วงต้น โครงการป่านิเวศในโรงงาน ได้ปลูกต้นไม้ในพื้นที่ 30 ไร่ ภายในบริเวณโรงงาน เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว สร้างระบบนิเวศให้สมบูรณ์และพนักงานมีโอกาสทำงานในสภาพแวดล้อมที่ดี รวมถึงชุมชนรอบข้าง

    กิจกรรมวันปลูกป่าเกิดขึ้น ด้วยความร่วมมืออาสาสมัคร 10,000 คน ประกอบด้วย คณะผู้บริหาร พนักงาน และครอบครัวโตโยต้า ผู้แทนจำหน่าย บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วน บริษัทในเครือ ตัวแทนหน่วยงานราชการ องค์กรเอกชน ชุมชนฉะเชิงเทรา และสื่อมวลชน ร่วมปลูกป่าจากกล้าไม้ท้องถิ่น 34 สายพันธุ์ จำนวน 100,000 ต้น ทำการปลูกป่าแบบยั่งยืนเพื่อสร้างผืนป่าที่ดำรงไว้ซึ่งสภาพตามธรรมชาติ การดำเนินโครงการป่านิเวศ ครอบคลุมพื้นที่กว่า 30 ไร่

    ช่วงแรกสามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 800 ตันต่อปี โดยมีตัวเลขค่าเฉลี่ยการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ของไม้ยืนต้นโตเต็มที่ 1 ต้น อยู่ที่ประมาณ 8 กิโลกรัมต่อปี เป็นแนวคิดที่ถูกนำไปประยุกต์ใช้กับโครงการปลูกป่าที่สำเร็จแล้วกว่า 1,500 แห่งทั่วโลก อาทิ โครงการปลูกป่ายั่งยืนที่เมืองโยโกฮาม่า โครงการฟื้นฟูป่าต้นโอ๊กบริเวณรอบกำแพงเมืองจีน ป่าฝนเขตร้อนในเมืองซาราวัก ประเทศมาเลเซีย ป่าอเมซอนประเทศบราซิล เป็นต้น

    นอกเหนือจากการดำเนินโครงการปลูกป่านิเวศในโรงงานบ้านโพธิ์ โตโยต้ายังขยายผลโครงการป่านิเวศสู่ชุมชนและเครือข่ายโตโยต้าทั่วประเทศ โดยร่วมกับตัวแทนจำหน่ายและผู้ผลิตชิ้นส่วนที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการ ช่วยกันปลูกป่านิเวศ พื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยวางเป้าหมายจะปลูกป่านิเวศให้ครบ 1 ล้านต้น ภายในปี 2555 การดำเนินการที่ผ่านมามีผู้แทนจำหน่าย และอาสาสมัครได้ร่วมกันปลูกป่านิเวศแล้วไม่ต่ำกว่า 270,000 ต้น
 ภายใต้ปรัชญาความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Eco-Friendly Product) ขณะเดียวกันโตโยต้าสนับสนุนให้เกิดการใช้พลังงานทางเลือกมากขึ้น ตลอดจนการค้นคว้าและวิจัยพัฒนาโครงการต่าง ๆ ร่วมกับการดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมที่มุ่งหวังให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ และสร้างการความตระหนักถึงปัญหาภาวะโลกร้อนให้แก่สังคม


โครงการปลูกป่านิเวศของโตโยต้า

บทความโดย : อาจารย์โกศล  ดีศีลธรรม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น