เนื่องจากการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ได้มีส่วนสร้างส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นมลพิษทางอากาศ มลพิษทางเสียง และขยะอุตสาหกรรม ทำให้ค่ายรถยนต์เบอร์สามของประเทศอย่าง ฮอนด้า ซึ่งมีพันธสัญญาเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการปรับปรุงสมรรถนะผลิตภัณฑ์ แต่ยังคำนึงถึงการนำวัตถุดิบหรือปัจจัยการผลิตที่เหลือใช้จากกระบวนการผลิตนำกลับมาใช้ใหม่ รวมถึงมุ่งอนุรักษ์ทรัพยากร
เนื่องจากการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ได้มีส่วนสร้างส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นมลพิษทางอากาศ มลพิษทางเสียง และขยะอุตสาหกรรม ทำให้ค่ายรถยนต์เบอร์สามของประเทศอย่าง ฮอนด้า ซึ่งมีพันธสัญญาเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการปรับปรุงสมรรถนะผลิตภัณฑ์ แต่ยังคำนึงถึงการนำวัตถุดิบหรือปัจจัยการผลิตที่เหลือใช้จากกระบวนการผลิตนำกลับมาใช้ใหม่ รวมถึงมุ่งอนุรักษ์ทรัพยากรและพลังงานทุกขั้นตอน ตลอดวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่การค้นคว้า ออกแบบ การผลิต การขาย การบริการ และการกำจัดทำลาย สำหรับโครงการด้านสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย ฮอนด้าเน้นกิจกรรมที่เกิดประโยชน์สูงสุดกับชุมชนทั้งโรงเรียน ชุมชน องค์กรท้องถิ่น
เกิดความสำนึกรักสิ่งแวดล้อมและร่วมกันแก้ไขปัญหาวิกฤต อาทิ ขยะ น้ำเสียและพลังงาน ตามแนวพระราชดำริให้เป็นรูปธรรม ฮอนด้าตระหนักดีว่าแนวทางดำเนินธุรกิจสะท้อนถึงพันธสัญญาที่บริษัทมีต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้มีความพยายามหาวิธีลดผลกระทบการดำเนินงานทุกขั้นตอนและส่งเสริมให้ศูนย์บริการ ผู้จำหน่าย ผู้ผลิตชิ้นส่วน นำระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม ระบบจัดการขยะและนำชิ้นส่วนรถยนต์หมดอายุใช้งานหมุนเวียนกลับมาใช้ประโยชน์ตามหลักการประเมินวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Assessment) หรือ LCA ฮอนด้าเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายแรกที่สามารถรีไซเคิลกันชนรถยนต์ที่หมดสภาพแล้วนำกลับมาใช้ใหม่ผ่านการรีไซเคิลและนำมาผลิตเป็นก้านดึงปุ่มกดล็อกประตูรถยนต์ รวมทั้งมีแผนนำเม็ดพลาสติกจากการรีไซเคิลกันชนรถยนต์มาผลิตเป็นบังโคลนและแผ่นรองใต้ตัวถังรถยนต์ในอนาคต ส่วนยางรถยนต์และน้ำมันเครื่องใช้แล้วจะถูกรวบรวมจากศูนย์บริการ ฮอนด้าเพื่อนำไปสังเคราะห์เป็นเชื้อเพลิงเผาซีเมนต์ ทำให้เกิดการใช้ทรัพยากรที่คุ้มค่าและลดปัญหาขยะตกค้าง นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญต่อแนวคิด โรงงานสีเขียว เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายที่กำหนดให้โรงงานผลิตฮอนด้าทั่วโลกมีระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมและระบบบริหารจัดการพลังงานที่มีประสิทธิภาพ ทางบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ดำเนินกิจกรรมสิ่งแวดล้อมเพื่อรองรับแนวคิดดังกล่าว อาทิ
- การลดปริมาณของเสียที่ส่งออกสู่ภายนอกให้เป็นศูนย์
- ควบคุมการใช้พลังงานและทรัพยากรธรรมชาติ
- นำระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมเข้ามาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดและปรับปรุงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
- ดำเนินกิจกรรมเพื่อการอยู่ร่วมกันกับชุมชนในท้องถิ่น
- สนับสนุนให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนมีส่วนร่วมรักษาสิ่งแวดล้อม
การดำเนินกิจกรรมโรงงานสีเขียวของฮอนด้าประสบความสำเร็จในการสร้างสรรค์สิ่งแวดล้อมที่ดีให้แก่สังคม กิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้ส่งผลให้โรงงานผลิตรถยนต์ฮอนด้าได้รับการรับรองมาตรฐานการจัดการสิ่งแวดล้อม ISO 14001 ในฐานะผู้ผลิตเครื่องยนต์รายใหญ่ของโลก ทำให้ฮอนด้าตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและให้คำมั่นสัญญาร่วมปกป้องรักษาสภาพแวดล้อม ควบคู่กับการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพสูงและราคาเหมาะสม รวมถึงนโยบายส่งเสริมกิจกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมทั้งในส่วนของโรงงาน สำนักงานทุกภูมิภาคทั่วโลกและสนับสนุนให้บริษัทคู่ค้า ผู้แทนจำหน่ายของฮอนด้าร่วมกิจกรรมต่อเนื่อง
โรงงานฮอนด้า
กรณีผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มเจ้าใหญ่ ค่ายเป๊บซี่ อย่าง
บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) ที่ให้ความสำคัญต่อการรักษาสิ่งแวดล้อม โดยมีการนำนโยบายสิ่งแวดล้อมมาใช้เป็นแนวทางปฏิบัติงานอย่างเคร่งครัดเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตลอดทั้งกระบวนการผลิต กรอบดำเนินโครงการสิ่งแวดล้อมของเสริมสุขที่ทำอย่างต่อเนื่องจนเกิดผลเป็นรูปธรรมที่ยั่งยืน โดยมุ่งสร้างวัฒนธรรมใจรักษ์สิ่งแวดล้อมที่พนักงานเสริมสุขทุกคนยึดถือปฏิบัติมาโดยตลอดอาทิ การแปรรูปด้วยแนวคิด 3R: คือ Reduce, Reuse และ Recycle โดยบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมในทุกโรงงานของเสริมสุข ประกอบด้วย โรงงานปทุมธานี โรงงานนครราชสีมา โรงงานนครสวรรค์ โรงงานสุราษฎร์ธานีและโรงงานชลบุรี โดยโรงงานปทุมธานีมีขนาดใหญ่ที่สุดและตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาจึงให้ความสำคัญมากจนได้รับรางวัล อนุรักษ์แม่น้ำเจ้าพระยาดีเด่น ในโครงการ
"รักแม่ รักษ์แม่น้ำ" จากกระทรวงอุตสาหกรรม
อันเป็นโครงการตามพระราชเสาวนีย์เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถในการอนุรักษ์และฟื้นฟูลำน้ำเจ้าพระยา โดยเสริมสุขบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมภายใต้แนวคิดเสริมสุข กรีน ไดเมนชั่นส์ (Serm Suk Green Dimension) 5 มิติ ประกอบด้วย น้ำ บรรจุภัณฑ์ พลังงาน สภาพแวดล้อมในโรงงาน และทรัพยากรมนุษย์ เสริมสุขเป็นบริษัทแรก ๆ ที่เริ่มนำระบบบำบัดน้ำเสียที่มีประสิทธิภาพมาใช้ โดยเฉพาะโรงงานปทุมธานีซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา บริษัทได้สร้างระบบบำบัดน้ำเสียที่มีประสิทธิภาพสูงเพื่อบำบัดน้ำทิ้งก่อนปล่อยคืนสู่ธรรมชาติตามมาตรฐาน โดยมีการติดตามและควบคุมการทำงานของระบบบำบัดน้ำเสียตลอด 24 ชั่วโมงและการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำทั้งก่อนเข้าสู่ระบบบำบัดและหลังผ่านกระบวนการบำบัดก่อนปล่อยคืนสู่แม่น้ำ และลงทุนติดตั้งเครื่องมือตรวจวัดค่าความสกปรกน้ำทิ้งก่อนปล่อยออกจากโรงงานทั้ง 5 แห่ง ซึ่งมีการเชื่อมโยงข้อมูลคุณภาพน้ำทิ้งผ่านระบบดาวเทียมไปยังกรมโรงงานอุตสาหกรรมเพื่อรายงานคุณภาพน้ำทิ้งตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้ง
ดำเนินโครงการนำน้ำทิ้งมาใช้และนำเชื้อจุลินทรีย์ส่วนเกินมาทำปุ๋ย บริษัทเสริมสุขได้บริหารจัดการน้ำทิ้งที่ผ่านการบำบัดแล้วมาใช้รดน้ำสวนหย่อม สนามหญ้า และต้นไม้ภายในโรงงาน โดยนำตะกอนจุลินทรีย์ที่ได้จากการย่อยสลายสิ่งสกปรกในน้ำมาใช้ทำปุ๋ยชีวภาพเพื่อบำรุงรักษาสวนหย่อม สนามหญ้าและต้นไม้ภายในโรงงาน นอกจากนี้บริษัทได้ริเริ่มการใช้ก๊าซมีเทนซึ่งเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพที่ได้จากการย่อยสลายจุลินทรีย์จากระบบบำบัดน้ำเสียเพื่อใช้ทดแทนการใช้น้ำมันเตาสำหรับหม้อน้ำ (Boiler) ของโรงงาน สามารถลดการใช้น้ำมันเตาได้ถึงปีละกว่า 200,000 ลิตร
นอกจากนี้เสริมสุขยังสนับสนุนการใช้พลังงานทางเลือก เช่น การใช้ก๊าซ NGV, LPG หรือ น้ำมันดีเซล B5 มาใช้ในหน่วยรถทุกประเภท นอกจากเป็นการช่วยประหยัดพลังงานแล้ว ยังช่วยลดภาวะโลกร้อนที่กำลังเป็นปัญหาสำคัญของโลกขณะนี้ ปัจจุบันบริษัทเสริมสุขคงเดินหน้าเพื่อเป้าหมายลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานตามนโยบายเสริมสุข กรีน ไดเมนชั่นส์ ทั้งโครงการเกี่ยวกับน้ำ บรรจุภัณฑ์ พลังงาน สภาพแวดล้อมภายในโรงงานและบุคลากรที่มุ่งเรื่องสิ่งแวดล้อม อาทิ การแนะนำตู้แช่ผลิตภัณฑ์รุ่นประหยัดพลังงานใหม่ ติดตั้งระบบระบายความร้อนให้มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยมีชุดระบายความร้อน ช่วยลดค่าบำรุงรักษา พร้อมทั้งระบบตัดไฟ ช่วยให้ร้านค้าสามารถประหยัดค่าไฟฟ้า 34% พร้อมรณรงค์ให้ผู้บริโภคช่วยกันประหยัดพลังงานโดยตู้แช่ใหม่จะมีสติ๊กเกอร์ Serm Suk Green Dimensions พร้อมข้อความ "กรุณาเลือกเครื่องดื่มก่อนเปิดตู้เพื่อประหยัดพลังงาน" ติดอยู่ทุกตู้ ส่วนเรื่องบรรจุภัณฑ์มีแผนลงทุนตั้งสายการผลิตขวดพีอีที เนื่องจากลักษณะคนรุ่นใหม่ที่เร่งรีบและตื่นตัวตลอดเวลา ทำให้แนวโน้มการใช้ขวดพีอีทีขยายตัวมากขึ้น ทั้งนี้เสริมสุขมีการพัฒนาขวดพีอีทีให้มีน้ำหนักเบาสำหรับเครื่องดื่มคริสตัลมาตั้งแต่ปี 2549 ขณะนี้บริษัทได้ขยายสู่การพัฒนาขวดพีอีทีที่บรรจุเครื่องดื่มเป๊ปซี่ใหม่ มีน้ำหนักเบา โดยใช้เทคโนโลยีการเป่าขวดในการผลิต ทำให้สามารถลดปริมาณการใช้เม็ดพลาสติกถึงปีละ 600 ตัน แสดงถึงความมุ่งมั่นความรับผิดชอบต่อสังคมในกระบวนธุรกิจ (CSR in Process)
สมดุลการพัฒนาอย่างยั่งยืน
บริษัท เครือ ซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCG ดำเนินนโยบายที่มุ่งพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม เครือซิเมนต์ไทยยึดหลักปรัชญาการดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน โดยสร้างคุณค่าให้ลูกค้า พนักงานและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย พร้อมทั้งสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนและระบบสิ่งแวดล้อมที่เครือ ซิเมนต์ไทยเข้าไปดำเนินธุรกิจ โดยกำหนดวิสัยทัศน์ชัดเจนการดำเนินธุรกิจที่ไม่เพียงแต่หวังผลกำไร แต่ต้องสร้างความยั่งยืนทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ทำให้การดำเนินธุรกิจของเครือ ซิเมนต์ไทย มุ่งมั่นที่จะลดผลกระทบทุกขั้นตอนและควบคุมกระบวนการผลิตให้ดีกว่ามาตรฐานที่หน่วยงานรัฐกำหนด โดยเฉพาะแนวคิด
“SCG Do It Green” เป็นโครงการเพื่อสิ่งแวดล้อมของเครือซิเมนต์ไทย ที่มุ่งย้ำเตือนจิตสำนึกการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้กับพนักงานในเครือซิเมนต์ไทย โดยยึดหลัก 3R คือ ลดการใช้ทรัพยากร (Reduce) การใช้ทรัพยากรหมุนเวียนให้เกิดประโยชน์สูงสุด(Reuse/Recycle) การฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมให้มีใช้อย่างเพียงพอและยั่งยืน (Replenish) โครงการนี้ยังมีเป้าหมายใหญ่ที่การสร้างฝายชะลอน้ำ 10,000 ฝาย (ปี 2552) เพื่อฟื้นฟูธรรมชาติกลับคืนสู่สมดุลด้วย เบื้องต้นเครือซิเมนต์ไทย มุ่งปลูกฝังจิตสำนึกให้เกิดในกลุ่มผู้ใช้น้ำ ซึ่งมีหลายโครงการที่ช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำขาด น้ำเกิน และน้ำเสีย อาทิ โครงการแก้มลิง ช่วยรับและเก็บกักน้ำเอาไว้ เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ส่วนอีกโครงการหนึ่งซึ่งรู้จักกันดี คือ การสร้างฝายชะลอน้ำในป่าต้นน้ำ เครือซิเมนต์ไทย สร้างฝายชะลอน้ำในป่าต้นน้ำเขตพื้นที่จังหวัดลำปาง บริเวณรอบโรงงาน ปัจจุบันเครือซิเมนต์ไทยทำงานร่วมกันกับชุมชนบริเวณป่าต้นน้ำ ไม่ว่าจะเป็นชุมชนบ้านสามขา บ้านสาสบหก เป็นต้น การทำงานร่วมกันกับชาวบ้านในพื้นที่ ทำให้ทางเครือซิเมนต์ไทยได้เรียนรู้ดังคำที่ประบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เคยทรงตรัสไว้ว่า “เราจะสร้างฝายเพื่อให้เกิดป่า ปลูกป่าโดยไม่ต้องปลูก แต่ว่าถ้าป่ามีความชุ่มชื้น ต้นไม้ก็จะขึ้นเอง”กล่าวคือ เมื่อผืนป่ามีความชุ่มชื่น ต้นไม้ก็จะขึ้นเอง ความอุดมสมบูรณ์ของป่า สัตว์ป่า พืชผัก พันธุ์พืชก็จะกลับขึ้นมาเอง อย่างไรก็ตามข้อค้นพบอีกประการหนึ่งจากการร่วมกันสร้างฝายกับชุมชนไม่ใช่แค่เพียงฝายชะลอน้ำที่ถูกสร้างขึ้นในพื้นที่ป่าต้นน้ำ แต่ฝายยังถูกสร้างขึ้นในใจคนอื่นที่ไม่ได้อยู่บริเวณป่าต้นน้ำด้วย นั่นคือ “จิตสำนึกอนุรักษ์น้ำ” เครือซิเมนต์ไทย เป็นองค์กรไทยรายแรกที่จัดทำนโยบายการจัดซื้อผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยกำหนดแนวปฏิบัติการจัดหาจัดซื้อที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Guidelines for Green Procurement) ตั้งแต่ปี 2547 นอกจากเป็นการแสดงเจตนารมณ์ในการเลือกใช้สินค้าและบริการที่ก่อให้เกิดผลกระทบสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุดแล้ว ยังผลักดันให้ผู้ผลิตเกิดการปรับปรุงและเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อสิ่งแวดล้อมสู่สังคมมากขึ้น โดยเห็นความสำคัญการจัดการสิ่งแวดล้อมผ่านห่วงโซ่อุปทานร่วมกับแนวปฏิบัติการจัดหาจัดซื้อที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมซึ่งให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนผู้ส่งมอบที่ไม่ผ่านเกณฑ์การจัดหาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้มีการปรับปรุงแก้ไข ทำให้สินค้าที่ออกสู่ตลาดเพื่อตอบสนองผู้บริโภคที่ใส่ใจดูแลสิ่งแวดล้อม ช่วยลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น กระดาษ Idea Green ลดการใช้ต้นไม้ 30% โดยใช้เยื่อ EcoFiber ที่ได้จากเศษวัสดุเหลือทิ้งจากผลิตผลทางเกษตรหรือ Green Series ที่ไม่ได้ใช้เยื่อจากไม้ใหม่ สินค้าวัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่าง ไม้สมาร์ทวูด แผ่นผนังและฝ้าสมาร์ทบอร์ด เป็นผลิตภัณฑ์ไฟเบอร์ซีเมนต์ที่ใช้เยื่อเซลลูโลสและปราศจากแอสเบสตอสในกระบวนการผลิต นับเป็นตัวอย่างแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ผ่านนวัตกรรมที่สร้างความแตกต่างและเพิ่มคุณค่าที่เป็นจุดขาย ส่วนบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การให้บริการจัดส่งสินค้าของเอสซีจี โลจิสติกส์ ด้วยการใช้พาหนะที่มีอัตราการบริโภคน้ำมันน้อย ลดการขนส่งเที่ยวเปล่าและการรวมเที่ยวส่งสินค้าเพื่อช่วยลดการใช้พลังงาน ลดมลภาวะและปริมาณก๊าซเรือนกระจก รวมทั้งลงทุนพัฒนา ปรับปรุงระบบการผลิตและระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม อาทิ โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตจากเชื้อเพลิงชีวมวล ด้วยการติดตั้งเครื่องจักรใหม่ทดแทนเครื่องจักรเดิมที่เก่าและประสิทธิภาพการทำงานต่ำ โดยติดตั้งอุปกรณ์ 2 ชุด คือ หม้อผลิตน้ำยาเคมีกลับคืน เทคโนโลยีสูงสุด
ประเทศฟินแลนด์ กำลังการผลิตไอน้ำ 108 ตัน/ชั่วโมง และกังหันไอน้ำและเครื่องกำเนิดไฟฟ้า โดยใช้เทคโนโลยีจากประเทศญี่ปุ่น กำลังการผลิต 9.62 เมกะวัตต์ ส่วนโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการสิ่งแวดล้อมมีหลายโครงการย่อย อาทิ การเปลี่ยนเครื่องออกซิเจนใหม่ การติดตั้งระบบเพื่อลดการใช้สารเคมีในการฟอกเยื่อ การติดตั้งเครื่องกำจัดก๊าซที่มีกลิ่นจากกระบวนการผลิตเยื่อกระดาษ การติดตั้งเครื่องผลิตก๊าซจากเปลือกไม้ เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในเตาเผากากปูนขาว การติดตั้งเตาเผากากปูนขาว ทั้งนี้ประโยชน์โครงการดังกล่าวจะลดกลิ่นที่เกิดจากกระบวนการผลิตเยื่อกระดาษ ลดกากเหลือทิ้งในกระบวนการผลิตเยื่อกระดาษโดยไม่ต้องกำจัด ด้วยวิธีการฝังกลบภายในโรงงานอีกต่อไป รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพควบคุมคุณภาพน้ำทิ้งที่ปล่อยออกจากโรงงานให้มีคุณภาพ ด้วยการลดใช้ทรัพยากรจากสารเคมีที่ใช้กระบวนการฟอกเยื่อ เนื่องจากที่ผ่านมาโรงงานมักได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านเรื่องกลิ่นที่เกิดจากกระบวนการผลิต ทางบริษัทอนุมัติงบลงทุนด้านเทคโนโลยีเพื่อกำจัดกลิ่น โดยมองว่าการดำเนินการของโรงงานจะต้องรับผิดชอบต่อสังคมและสามารถอยู่ร่วมกับชาวบ้านอย่างมีความสุข บริษัทได้เชิญชาวบ้านในพื้นที่และชุมชนใกล้เคียง รวมทั้งผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้ร่วมรับฟังและแสดงความคิดเห็นอย่างโปร่งใสเพื่อเตรียมวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EIA-HIA) แสดงให้เห็นว่าทางบริษัทดำเนินโครงการอย่างโปร่งใส หลังติดตั้งเครื่องจักรใหม่เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตจากเชื้อเพลิงชีวมวลและโครงการปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการสิ่งแวดล้อม บริษัทสามารถผลิตไฟฟ้าใช้ภายในโรงงานเพิ่มขึ้นและลดการซื้อไฟฟ้าจากภายนอก คาดว่าจะลดการใช้น้ำมันเตาที่เคยมีการใช้ 5.3 ล้านลิตร/ปี ลดใช้ถ่านหินได้ปีละ 8,000 ตันและลดกลิ่นจากกระบวนการผลิตเยื่อกระดาษร้อยละ 70-80
แนวคิดการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน
สำหรับ
บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด(มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป (EGCO GROUP) ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่แห่งแรกของไทย ถือเป็นบริษัทหนึ่งที่ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจควบคู่กับความรับผิดชอบต่อสังคม อาทิ การพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าสีเขียว ณ โรงผลิตไฟฟ้าขนอมและโรงผลิตไฟฟ้าระยอง ในปี 2553 ได้มีการพัฒนาโครงการหนึ่งป่าต้นน้ำหนึ่งต้นกำเนิดพลังงาน ในพื้นที่บ้านสันดินแดงและบ้านโป่งสะแยน จังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น การดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมหรือ CSR ของเอ็กโก กรุ๊ป ได้ถูกกำหนดเป็นส่วนหนึ่งของวิสัยทัศน์องค์กรที่ว่า
“บริษัท ผลิตไฟฟ้าจำกัด(มหาชน) เป็นบริษัทชั้นนำที่ดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าครบวงจรและครอบคลุมถึงธุรกิจให้บริการด้านพลังงานทั้งในประเทศและภูมิภาคอาเซียนด้วยความมุ่งมั่นที่จะธำรงไว้ซึ่งสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาสังคม และมีพันธกิจรับผิดชอบและให้ความสำคัญต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เป็นหนึ่งในพันธกิจขององค์กร” ปัจจัยหนึ่งในการกำหนดโครงการ CSR ของเอ็กโก คือ ต้องเป็นโครงการหรือกิจกรรมที่มีความต่อเนื่อง เห็นได้จากโครงการหนึ่งป่าต้นน้ำหนึ่งต้นกำเนิดพลังงาน บ้านสันดินแดง เป็นโครงการที่มีระยะเวลาดำเนินการเพียง 90 วัน แต่ความยั่งยืนของโครงการไม่ใช่อยู่ที่ระยะเวลาดำเนินการ โครงการดังกล่าวเอ็กโกได้เข้าไปให้ความรู้และสร้างความภาคภูมิใจให้แก่คนในพื้นที่ร่วมกันดูแลรักษาป่าอันเป็นแหล่งต้นน้ำให้กับคนทั้งประเทศพร้อมกับสร้างโรงไฟฟ้าให้กับชุมชน โดยเลือกโรงไฟฟ้าพลังน้ำแทนไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ เนื่องจากต้องการให้ชุมชนเห็นความสำคัญของการอนุรักษ์ป่า ถ้าชุมชนช่วยกันรักษาป่าต้นน้ำ โรงเรียน สถานีอนามัย รวมถึงบ้านเรือนของสมาชิกในชุมชนก็จะมีไฟฟ้าใช้ แต่หากทำไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เขาก็จะไม่เห็นความเชื่อมโยงหรือความสำคัญของการอนุรักษ์ป่า เพราะถ้าป่าหมดแต่มีแสงแดดเขาก็ยังมีไฟใช้ นอกจากการใช้ไฟฟ้าที่เป็นกุศโลบายในการชี้ให้เห็นความสำคัญของป่าแล้ว การดำเนินโครงการยังต้องคำนึงถึงการก่อสร้าง วัสดุก่อสร้าง
การบำรุงรักษาและผลกระทบที่จะตามมา ในส่วนนี้เอ็กโกได้มีการวางรากฐานและออกแบบกลไกเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนโดยชุมชน เช่น วัสดุที่ใช้ก่อสร้างได้ถูกออกแบบให้มีความความกลมกลืนกับธรรมชาติมากที่สุด โดยออกแบบโรงไฟฟ้าให้มีลักษณะเหมือนกระท่อมกลางป่าเพื่อไม่ให้เกิดความแตกแยกกับธรรมชาติและออกแบบเสาพาดสายให้ใช้ต้นไม้ใหญ่ที่มีอยู่ตามธรรมชาติแทนเสาคอนกรีต ขณะเดียวกันกระบวนการซ่อมบำรุงและการบริหารจัดการไฟฟ้าในชุมชน เป็นไปภายใต้กระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน เช่น การตั้งคณะกรรมการที่เป็นสมาชิกในชุมชนมาร่วมพิจารณากฎระเบียบการใช้ไฟ และทีมช่างชุมชนทำหน้าที่ดูแลซ่อมบำรุงรักษาโรงไฟฟ้าเบื้องต้น แต่หากเกินความสามารถก็ให้แจ้งไปยังบริษัทเห็นได้ว่าโครงการดังกล่าวเป็นตัวอย่างหนึ่งในโครงการ CSR ที่มีผสมผสานแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืนเข้าไว้ด้วยกัน ล่าสุด เอ็กโก กรุ๊ป เข้าซื้อหุ้นสามัญ บริษัท เทพพนา วินด์ฟาร์ม จำกัด ผู้พัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังลม สัดส่วนร้อยละ 90 พร้อมตั้งเป้าขยายการลงทุนในโครงการพลังงานหมุนเวียนเป็น 300 เมกะวัตต์ ในปี 2558 ทางกรรมการผู้จัดการใหญ่ เอ็กโก กรุ๊ป กล่าวว่า โครงการเทพพนา วินด์ฟาร์ม ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ เป็นโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคในโครงการผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (Very Small Power Producer) หรือ VSPP โดยมีการศึกษาเก็บข้อมูลความเร็วและทิศทางลมอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 3 ปี ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2552
ผลการศึกษาระยะแรกพบว่าพื้นที่ดังกล่าวมีศักยภาพผลิตไฟฟ้าพลังลมเชิงพาณิชย์ บริษัทจึงได้ตัดสินใจลงทุนโครงการดังกล่าว ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษารายละเอียดผลกระทบสิ่งแวดล้อม เจรจาเรื่องการก่อสร้างงานด้านวิศวกรรม จัดหาเครื่องจักร และก่อสร้างโรงไฟฟ้า (Engineering, Procurement and Construction) รวมถึงการจัดหาแหล่งเงินทุน และทำความเข้าใจกับชุมชนในพื้นที่ การลงทุนครั้งนี้ทาง เอ็กโก กรุ๊ป ต้องการขยายธุรกิจพลังงานทดแทน โดยมีเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเป็น 300 เมกะวัตต์ ภายในปี 2558 ปัจจุบันมีอยู่ราว 50 เมกะวัตต์ จากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ แกลบ และเศษไม้ยางพารา การลงทุนดังกล่าวเป็นการขยายธุรกิจพลังงานทดแทน สอดคล้องกับนโยบายภาครัฐที่สนับสนุนเรื่องพลังงานทดแทนและพลังงานสะอาด รวมถึงนโยบายของเอ็กโก กรุ๊ป เรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมด้วย
สำหรับบริษัทมหาชนที่ดำเนินธุรกิจด้านพลังงาน
บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเริ่มตั้งแต่กระบวนการผลิตในโรงงานจนถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยยึดถือนโยบายสีเขียว(Green Policy) ได้แก่ Green Plant, Green Process, Green People, Green Product และ Green Project เป็นมาตรฐานร่วมกันทั้งกลุ่มธุรกิจ เป็นปัจจัยหลัก ทำให้กลุ่ม ปตท. ได้รับการยอมรับระดับชาติจนถึงระดับสากลในฐานะกลุ่มบริษัทพลังงานแห่งชาติและผู้นำอุตสาหกรรมปิโตรเคมีของไทย อาทิ ระบบการจัดการพื้นที่ปฏิบัติงานสีเขียว (Green Plant) ที่ปรับปรุงเทคโนโลยีการผลิตอย่างต่อเนื่องทุกพื้นที่ได้รับการรับรองระบบบริหารคุณภาพ (ISO9001) และระบบจัดการสิ่งแวดล้อม (ISO14001) รวมทั้งนำหลักการ
“ระบบนิเวศเศรษฐศาสตร์” ขององค์การสหประชาชาติเป็นแนวทางจัดการสิ่งแวดล้อมเป็นแห่งแรกในอาเซียน ระบบจัดการกระบวนการผลิตสีเขียว (Green Process) เช่น การติดตั้งระบบควบคุมไอน้ำมันเชื้อเพลิงในคลังน้ำมันและสถานีบริการเพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพลูกค้าและพนักงาน รวมทั้งมีการตรวจวัดคุณภาพน้ำและอากาศภายในโรงงานและชุมชนโดยรอบ ส่วนความปลอดภัยการทำงานของพนักงานซึ่งเป็นทรัพยากรหลักขององค์กร (Green People) กลุ่ม ปตท.ดำเนินงานตามระบบจัดการด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยจนผ่านการรับรองระบบจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย (มอก./OHSAS18001) ทุกพื้นที่ ด้วยความใส่ใจด้านสิ่งแวดล้อมนับตั้งแต่เริ่มต้นกระบวนการผลิต ทำให้เกิดผลิตภัณฑ์สีเขียว (Green Product) อาทิ น้ำมันไร้สารตะกั่ว ก๊าซเอ็นจีวี น้ำมันไบโอดีเซล น้ำมันดีเซลปาล์ม น้ำมันหล่อลื่นที่สามารถย่อยสลายทางชีวภาพและการนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากกระบวนการผลิตไปผลิตน้ำแข็งแห้งแทนการปล่อยสู่บรรยากาศ รวมทั้งพลาสติกสีเขียว (Green Plastic) นวัตกรรมล่าสุดของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีเมืองไทย กลุ่ม ปตท. เป็นรายแรกในอาเซียนที่ประกาศว่าเม็ดพลาสติกของกลุ่ม ปตท.เป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพผู้บริโภคตามมาตรฐานสากล กลุ่ม ปตท.นอกจากนโยบายสีเขียวจะกำหนดมาตรฐานการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังครอบคลุมถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งมั่นดำเนินโครงการที่เป็นโครงการสีเขียว (Green Project) อย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการลูกโลกสีเขียว โครงการปลูกหญ้าแฝก การสร้างชุมชนเข้มแข็งตามแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีส่วนร่วมสนับสนุน
โครงการ“เพื่อนชุมชน”เพื่อแสดงความมุ่งมั่นดูแลสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตชาวระยองให้เป็นต้นแบบเมืองน่าอยู่ ที่มีการพัฒนาอุตสาหกรรมควบคู่การดูแลชุมชนผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน โดยให้ความสำคัญกับการสร้างระบบมาตรฐานการดำเนินงานความปลอดภัย-อาชีวอนามัย-สิ่งแวดล้อม (Safety-Health-Environment) หรือ SHE กลุ่มผู้ประกอบการต้องร่วมกันทำให้ดีกว่ากฎหมาย ระยะเริ่มต้นโครงการ “เพื่อนชุมชน” ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเข้าร่วม 5 บริษัท ได้แก่ ปตท. เอสซีจี บีแอลซีพี โกลว์ และดาว เคมิคอล อนาคตจะขยายความร่วมมือไปยังผู้ประกอบการโรงงานอื่นให้มากที่สุด รวมทั้งเชิญชวนภาครัฐและประชาสังคม เข้ามามีส่วนร่วมอย่างโปร่งใส ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นองค์กรต้นแบบเรื่องการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย ทั้งยังผลักดันให้โรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้มีการบริหารจัดการที่ดีเช่นเดียวกับองค์กรต้นแบบเพื่อให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การรวมกลุ่มเพื่อนชุมชนมีแผนการทำงาน ร่วมกัน 3 ด้าน คือ
- ปฏิบัติการโรงงานสีเขียว (Green Operation) โดยทำข้อตกลงเป็นพี่เลี้ยงช่วยพัฒนาจัดการด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยให้มีมาตรฐานทัดเทียมกัน ตามแนวทาง “เพื่อนช่วยเพื่อน” เพื่อให้มีมาตรฐานสูงกว่ากฏหมายกำหนดและดำเนินการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง พร้อมถ่ายทอดความรู้และแบ่งปันประสบการณ์เพื่อยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมให้สูงทัดเทียมกัน โดยมุ่งสู่กระบวนการตรวจสอบดูแลตัวเองและพัฒนาสู่การผลิตสีเขียว(Green Manufacturing) โดยมีความร่วมมือกับภาครัฐและชุมชนพัฒนาให้เป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศน์ที่มีการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย รวมทั้งให้ชุมชนมีส่วนร่วมในกระบวนการตรวจสอบทั้งด้านการปฎิบัติการโรงงาน การตรวจวัดมลพิษด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย โดยจัดทำมาตรการลดผลกระทบและการสื่อสารแจ้งเหตุ ตลอดจนความร่วมมือในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินและการฝึกซ้อมเตรียมความพร้อมให้กับโรงงานอุตสาหกรรมและชุมชน
- การดูแลเอาใจใส่ชุมชนด้วยความจริงใจ (Beyond CSR) โดยศึกษาความต้องการที่แท้จริงของชุมชนเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชนและทำแผนการสื่อสารแนวทางปฏิบัติให้ทุกชุมชน ทั้งนี้มุ่งหวังให้อุตสาหกรรมกับชุมชนสามารถอยู่ร่วมกันและเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นพัฒนาสุขภาพและการศึกษาของชุมชน ครอบคลุมพื้นที่ มาบตาพุด ห้วยโป่ง เนินพระ ทับมา มาบข่า และบ้านฉาง ด้านสุขภาพได้ร่วมมือกับภาครัฐในการตรวจสุขภาพให้ชุมชนเพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลอย่างเป็นระบบ อาทิ จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ การให้ทุนการศึกษาแก่นักศึกษาพยาบาล 200 ทุนภายใน 4 ปี ทางด้านการศึกษาได้พัฒนาคุณภาพโรงเรียนและจัดทุนการศึกษาแบบต่อเนื่องถึงระดับอุดมศึกษา
- การสื่อสารเสริมสร้างความเข้าใจ (Communication) สนับสนุนให้อุตสาหกรรมร่วมมือกันพัฒนาการจัดการสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยสู่อุตสาหกรรมสะอาดเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจและสร้างความมีส่วนร่วมกับชุมชนอย่างโปร่งใสเกี่ยวกับการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยของอุตสาหกรรม โดยจัดตั้งศูนย์ให้ความรู้ชุมชน รับข้อร้องเรียน และประสานงานในการแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็ว ตลอดจนสื่อสารเสริมสร้างความรู้การรับมือเหตุฉุกเฉินให้ทุกชุมชน ตั้งแต่การรับแจ้งเหตุ แนวทางปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุและการให้ความช่วยเหลือ นอกจากนี้ยังจัดเวทีชุมชนให้ความรู้เกี่ยวกับอุตสาหกรรมสะอาดเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และรับฟังเสียงสะท้อนจากชุมชนเพื่อนำมาปรับปรุงให้ดีขึ้น
นอกจากนี้กลุ่มเพื่อนชุมชนร่วมกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิด 8 โรงงานสีเขียว ให้ 33 ชุมชน เขตมาบตาพุดจำนวนกว่า 400 คน เข้าเยี่ยมชมซึ่งเป็นไปตามแนวคิด “เพื่อนใกล้ชิด มิตรใกล้บ้านโรงงานสีเขียว” โรงงานที่เปิดให้ประชาชนเยี่ยมชมได้แก่ บริษัท โกลว์ จำกัด บริษัท บีแอลซีพี เพาเวอร์ จำกัด บริษัท ดาว เคมิคอล ประเทศไทย จำกัด บริษัท ระยองโอเลฟินส์ จำกัด บริษัท ปตท เคมิคอล จำกัด (มหาชน) บริษัท วีนิไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท กรุงเทพ ซินธิติกส์ จำกัด และ บริษัท สยามยูไนเต็ดสตีล (1995) จำกัด รวมทั้ง การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ทั้งนี้เพื่อให้ผู้เยี่ยมชมตรวจสอบการทำงานของโรงงาน
โดยเฉพาะการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมและพร้อมรับฟังความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะต่าง ๆ จากชุมชน เพื่อนำมาปรับปรุงการบริหารงาน ทั้งนี้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ ที่กำหนด ทั้งคุณภาพน้ำ อากาศ ด้วยการติดตั้งระบบตรวจวัดแบบออนไลน์ต่อตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งมีสัญญาณเชื่อมโยงไปศูนย์ปฏิบัติการและควบคุมคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่สำนักงานนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด โดยมีการแสดงผลผ่านเว็บไซต์เพื่อให้ชุมชนได้มีส่วนร่วมเฝ้าระวังด้วยตนเอง
ความสัมพันธ์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
ส่วนผู้ผลิตอาหารรายใหญ่อย่าง บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ได้มุ่งสร้างค่านิยมและแนวทางปฏิบัติให้พนักงานทุกระดับต้องคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม นอกเหนือจากการผลิตที่มีมาตรฐานและไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งสร้างจิตสำนึกของพนักงานให้เป็นส่วนหนึ่งในการร่วมอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมที่ไม่เพียงนำความสมบูรณ์ทางธรรมชาติคืนสู่ผืนโลกเท่านั้น
แต่สนับสนุนให้บุคลากรได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมเพื่อสังคมและพัฒนาชุมชน โดยมีการปลูกฝังค่านิยมในตัวพนักงานทุกคนว่า ในฐานะเป็นสมาชิกของชุมชนที่ต้องมีส่วนสร้างคุณค่าและความยั่งยืนให้เกิดทั้งตัวพนักงานองค์กรและสังคมส่วนรวม ซีพีเอฟ มีนโยบายประหยัดพลังงาน เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และลดต้นทุนการผลิต ที่บริษัทให้ความสำคัญโดยตลอด โดยผู้บริหารและพนักงานทุกระดับถือเป็นหน้าที่จะต้องปฏิบัติจริงจังในการอนุรักษ์พลังงาน เน้นความมีส่วนร่วมปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักรด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ลดความสูญเสียด้วยนวัตกรรมประหยัดพลังงานมาใช้และยึดมั่นการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ที่สำคัญบริษัทได้ปลูกฝังค่านิยมการอนุรักษ์พลังงานว่าเป็นหน้าที่ของทุกคน ทำให้พนักงานทุกคนค้นหาวิธีลดการใช้พลังงาน
ดังตัวอย่าง โรงงานผลิตอาหารสัตว์ปักธงชัย จ.นครราชสีมา พนักงานควบคุมหม้อไอน้ำ สังเกตเห็นอุณหภูมิปล่องไอเสียมีค่าสูงและคิดว่าน่าจะนำกลับมาใช้ได้ จึงเริ่มศึกษาและทำการทดลอง กระทั่งสร้างสรรค์นวัตกรรมทางพลังงานชื่อว่า Economizer หรือ “เครื่องแลกเปลี่ยนความร้อน” ที่ไม่เพียงช่วยลดการสูญเสียพลังงานความร้อน แต่ยังช่วยลดการใช้พลังงานในกระบวนการผลิตอาหารสัตว์ การใช้พลังงานความร้อนในโรงงานอาหารสัตว์จะเพิ่มอุณหภูมิน้ำร้อนถึง 105 องศาเซลเซียสก่อนส่งเข้าไปในหม้อไอน้ำ โดยความร้อนที่กระบวนการผลิตปล่อยทิ้งเมื่อนำกลับมาใช้ใหม่ผ่านระบบ Economizer สามารถทำให้น้ำป้อนก่อนเข้าหม้อไอน้ำมีอุณหภูมิสูงขึ้น นอกจากลดความร้อนสูญเปล่าที่ถูกปล่อยทิ้งแล้วยังลดการใช้พลังงานในการเพิ่มอุณหภูมิน้ำป้อน โรงงานอาหารสัตว์ปักธงชัยจึงติดตั้งเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อนเป็น 2 เฟส สามารถใช้ความร้อนจากปล่องไอเสียมาอุ่นน้ำป้อนเข้าหม้อไอน้ำ
โดยเฟสแรกจะให้อุณหภูมิน้ำป้อนก่อนเข้าสู่กระบวนการสูงขึ้นจาก 29 องศาเซลเซียสเป็น 47 องศาเซลเซียส แล้วจึงติดตั้งเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อนในเฟส 2 ช่วยเพิ่มอุณหภูมิน้ำจาก 47 องศาเซลเซียสเป็น 60 องศาเซลเซียสและใช้ไอน้ำเพิ่มอุณหภูมิน้ำถึง 105 องศาเซลเซียส ดังนั้น Economizer สามารถเพิ่มอุณหภูมิน้ำป้อนได้ 18 องศาเซลเซียสในเฟสแรกและเพิ่มอีก 13 องศาเซลเซียส ในเฟส 2 รวมแล้วสามารถเพิ่มอุณหภูมิน้ำได้ถึง 31 องศาเซลเซียส การนำพลังงานสูญเปล่ากลับมาใช้ใหม่อย่างมีประสิทธิผลช่วยประหยัดพลังงาน 637,551 บาทต่อปี โครงการ Economizer เกิดขึ้นจากความคิดพนักงานที่สามารถคว้ารางวัลชนะเลิศจากการประกวดผลงานพลังงานทดแทนและการอนุรักษ์พลังงานระดับภูมิภาคหรือ ASEAN ENERGY AWARDS 2010 ประเภท Special Submission
ซึ่งมุ่งหวังให้เป็นต้นแบบโครงการประหยัดพลังงานที่สามารถนำไปขยายผลในโรงงานอาหารสัตว์อื่นของซีพีเอฟอย่างมีประสิทธิภาพ โรงงานปักธงชัยยังได้รับคัดเลือกให้รับรางวัล Thailand Energy Award 2010 และรางวัล The Prime Minister Industry Award 2010 ประเภทการจัดการพลังงาน ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้โรงงานอาหารสัตว์อื่นของซีพีเอฟ ต่างมุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านพลังงานอย่างต่อเนื่องเช่นกันอาทิ โรงงานท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา ได้นำความร้อนทิ้งจากปล่องไอเสียมาอบข้าวโพดอย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับโรงงานแปรรูปเนื้อไก่ซีพีเอฟ มีนบุรี.จัดทำโครงการใช้พลังงานแสงอาทิตย์แบบผสมผสานเพื่อใช้อบอาหารแห้งและยืดอายุการเก็บรักษาให้นานขึ้น โดยร่วมกับกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและกรมอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งไม่เพียงแค่ลดปัญหาภาวะโลกร้อน ยังช่วยลดต้นทุนการผลิต “โครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบผสมผสาน” เป็นโครงการอนุรักษ์พลังงานที่ใช้ความร้อนจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Collector) และความร้อนจากเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อน (Economizer) มาทำงานร่วมกัน การทำงานของระบบดังกล่าวจะผลิตน้ำร้อนป้อนเข้าหม้อไอน้ำทดแทนการใช้น้ำมันเตา ด้วยการนำน้ำอุณหภูมิปกติ 30 องศาเซลเซียส มาทำให้ร้อนขึ้นเป็น 60 องศาเซลเซียส โดยอาศัยความร้อนจากพลังงานแสงอาทิตย์ ผ่านชุด Solar Collector จำนวน 195 แผง พื้นที่การรับแสง 2.56 ตารางเมตรต่อแผง คิดเป็นพื้นที่รับแสงรวม 499.2 ตารางเมตร สามารถรับพลังงานแสงอาทิตย์ 8 ชั่วโมงต่อวัน
ทำให้ได้น้ำร้อนที่ผลิตจากชุด Solar Collector ประมาณ 20,000,000 ลิตร/ปี ความร้อนที่ได้จากเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อนที่ปล่องไอเสียของหม้อไอน้ำมีอุณหภูมิ 210 องศาเซลเซียส ส่วนนี้เองได้นำมาผสมผสานการทำงานร่วมกันทดแทนการใช้น้ำมันเตาในการผลิตน้ำร้อนเพื่อป้อนเข้าหม้อไอน้ำ แล้วนำไปใช้ในกระบวนการแปรรูปเนื้อไก่ตั้งแต่ขั้นตอนการจัดการขน คุณภาพซากเนื้อ ด้วยอุณหภูมิความร้อนที่เหมาะสมภายในโรงงาน เมื่อนำไปใช้เป็นน้ำป้อนเข้าหม้อไอน้ำในกระบวนการผลิต คาดว่าสามารถลดการใช้น้ำมันเตาที่เคยใช้เป็นเชื้อเพลิงผลิตไอน้ำได้ปีละ 146,283 ลิตร คิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่าปีละ 2.7 ล้านบาท โครงการนี้ช่วยลดต้นทุนการผลิต ลดภาวะโลกร้อน และการนำพลังงานธรรมชาติมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ด้วยเหตุนี้โรงงานแปรรูปไก่เนื้อมีนบุรี ได้รับรางวัล Thailand Energy Awards 2011 ด้านการอนุรักษ์พลังงานจากกระทรวงพลังงาน
โครงการใช้พลังงานแสงอาทิตย์แบบผสมผสาน
นอกจากนี้โรงงานแปรรูปสัตว์น้ำแกลง อ.แกลง จ.ระยอง ได้รับเลือกจากกระทรวงอุตสาหกรรมให้ได้รับเกียรติบัตร CSR-DIW ของกรมโรงงานอุตสาหกรรมซึ่งเป็นมาตรฐานที่อิงหลักเกณฑ์การปฏิบัติจากมาตรฐานระหว่างประเทศว่าด้วยการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม (ISO 26000 Social Responsibility) ขององค์กรระหว่างประเทศว่าด้วยการมาตรฐานที่เพิ่งประกาศใช้เมื่อปลายปี 2553 เพื่อให้องค์กรธุรกิจทั่วโลกแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมด้วยความสมัครใจ โดยดำเนินกิจกรรม CSR หลากหลายรูปแบบอย่าง โครงการปลูกป่าชายเลนร่วมกับชุมชนและหน่วยงานรัฐให้เป็นที่อยู่ของสัตว์น้ำและรักษาระบบนิเวศน์ เพื่อประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการส่งเสริมอาชีพและสร้างความปลอดภัยให้ชุมชน กิจกรรมเพื่อสังคมของโรงงานแห่งนี้ถือเป็นเพียงส่วนหนึ่งของ ซีพีเอฟ ที่ดำเนินธุรกิจภายใต้การตระหนักถึงสังคม ชุมชนและสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอดตามปรัชญาการดำเนินธุรกิจของเครือเจริญโภคภัณฑ์ที่คำนึงถึงหลัก 3 ประโยชน์ คือ ธุรกิจของบริษัทต้องเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ประโยชน์ต่อประชาชน และประโยชน์ต่อบริษัท ขณะเดียวกันซีพีเอฟวางเป้าหมายทำงานด้านความยั่งยืนด้วยการทำกิจกรรมเพื่อสังคมหรือ CSR ให้ทุกหน่วยงานของซีพีเอฟต้องนำไปปฏิบัติ รวมถึงระบุค่านิยมองค์กร หรือ CPF Way ข้อที่ 6 ว่าด้วยการตอบแทนบุญคุณแผ่นดินและการดำเนินนโยบายด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม (CPF SHE) ซึ่งบริษัทให้ความสำคัญด้าน SHE อย่างมากจึงได้มีการขยายระบบ SHE Management สู่กลุ่มฟาร์มเลี้ยงสัตว์ โดยมีเป้าหมาย 100% รวมถึงการสร้างสรรค์โครงการอาสาสมัคร SHE ภายในโรงงาน สำหรับกิจกรรมอาสาสมัคร SHE มีโรงงานแปรรูปเนื้อไก่นครราชสีมา เป็นต้นแบบสร้างสรรค์ เนื่องจากจำนวนพนักงานภายในโรงงานมีมากกว่า 4,000 คน ดังนั้นการมุ่งสร้างเสริมสุขภาพและความปลอดภัยเพื่อให้เข้าถึงพนักงานทุกคนเป็นการยาก จึงต้องสร้างบุคลากรเพื่อเป็นเครือข่ายด้าน SHE ในการร่วมพัฒนางานภายใต้หลักการส่งเสริมให้พนักงานมีส่วนร่วมดูแลสุขภาพตนเองในรูปแบบอาสาสมัคร
โดยอาสาสมัครจะเป็นแกนนำในการพัฒนางาน SHE ในหน่วยงาน ทำให้การดำเนินงานด้าน SHE ภายในโรงงานนครราชสีมาเกิดประสิทธิผล แม้ว่ากลุ่มฟาร์มเลี้ยงสัตว์มีระบบจัดการด้วยกลไกการพัฒนาที่สะอาดแล้ว ทางซีพีเอฟขยายผลด้วยการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีจากการปลูกไม้ยืนต้นในพื้นที่ฟาร์ม นอกจากเป็น การเพิ่มพื้นที่สีเขียว เพื่อลดภาวะโลกร้อนแล้วและสร้างภูมิทัศน์ที่ดีของฟาร์มแล้ว ยังช่วยลดผลกระทบจากการเลี้ยงสัตว์ ในด้านกลิ่น ฝุ่น และแรงลม เป็นอย่างดี
ทำให้ซีพีเอฟและเครือเจริญโภคภัณฑ์ เป็นองค์กรที่ได้รับรางวัลด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและลิ่งแวดล้อมในการทำงาน ประจำปี 2553 มากที่สุดในประเทศไทย อาทิ รางวัลเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานดีเด่นระดับประเทศ ทีมฉุกเฉินประจำสถานประกอบกิจการดีเด่นระดับประเทศ รวมทั้งได้รับรางวัล Zero Accident จากกระทรวงแรงงาน และรางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น ประจำปี 2553 ด้านการบริหารความปลอดภัยและการจัดการพลังงาน จากกระทรวงอุตสาหกรรม แสดงถึงการปลูกฝังจิตสำนึกพนักงานซีพีเอฟให้ตระหนักถึงสังคม ชุมชนและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด
เอกสารอ้างอิง
1. Joel Makower, Strategies for the Green Economy: Opportunities and Challenges in the New World of Business, McGraw-Hill, 2009.
2. Pamela J.Gordon, Lean and Green Profit for Your Business and the Environment, Berrett-Koehler Publishers, 2001.
3. โกศล ดีศีลธรรม, เพิ่มศักยภาพการแข่งขันด้วยแนวคิดลีน, ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2548.
4. โกศล ดีศีลธรรม, ผลิตภาพ : ปัจจัยพัฒนาสู่การแข่งขันยุคใหม่,สำนักพิมพ์ผู้จัดการ, 2550.
5. โกศล ดีศีลธรรม, โลจิสติกส์และห่วงโซ่อุปทานสำหรับการแข่งขันยุคใหม่,สำนักพิมพ์ฐานบุ๊คส์, 2551.
6. โกศล ดีศีลธรรม, องค์กรทำดีเพื่อสังคม, สำนักพิมพ์ MGR 360?, 2554.
7. รายงานประจำปี 2552 บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน)
8. รายงานการพัฒนาอย่างยั่งยืน 2552 เครือซีเมนต์ไทย (SCG).
9. สรุปสาระงานเสวนา “CSR Thailand 2011 ไม่ทำ ไม่ได้แล้ว” สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย
10.
http://www.brandage.com
11.
http://www.bangkokbiznews.com
12.
http://www.cpfworldwide.com/
13.
http://www.csri.or.th
14.
http://www.egco.com
15.
http://www.green.in.th
16.
http://green.industry.go.th
17.
http://www.greennet.or.th
18.
http://www.honda.co.th
19.
http://www.logisticsdigest.com
20.
http://www.manager.co.th/
21.
http://www.marketeer.co.th/
22.
http://www.mcot.net
23.
http://www.measwatch.org/
24.
http://www.prachachat.net
25.
http://www.pttplc.com
26.
http://www.siamcement.com/
27.
http://www.th.kimberly-clark.com/
28.
http://www.toyota.co.jp/en/environment/vision/green/pdf/all.pdf
29.
http://www.toyota.co.th/sustainable_plant/sustainable.html
30.
http://www.worldwheelsweb.com
**สงวนลิขสิทธิ์ ตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ ห้ามลอกเลียนแบบหรือทำซ้ำไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง นอกจากจะได้รับอนุญาต
บทความโดย อาจารย์โกศล ดีศีลธรรมkoishi2001@yahoo.com