วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2559

ข้อคิดดีดีในการทำงาน


1. แผนการเกษียณอายุเป็นการป้องกันชีวิตตัวเองตกต่ำไม่ให้ตกถึงขีดสุด
การวางแผนชีวิตตัวเองเรื่องการเกษียณคล้ายๆ กับการทำประกันชีวิต ถ้าวันหนึ่งคุณไม่อยู่ในสภาพที่จะทำงานได้อีกต่อไปคุณจะทำยังไง คุณจะเอาเงินที่ไหนมาเลี้ยงตัวในวันที่คุณทำงานไม่ได้ คนส่วนใหญ่ทำงานทั้งชีวิต พอตอนเกษียณก็ต้องทนใช้ชีวิตกินอาหารถูกๆเพราะเดี๋ยวเงินหมด แถมเงินเฟ้อก็ยังทำให้ค่าเงินของคุณลดมูลค่าไปราวๆ 2-4% ต่อปี สุดท้ายถ้าคุณเงินหมดในวัยเกษียณ คุณก็ต้องหางานทำหรือไม่ก็ต้องสร้างธุรกิจใหม่อยู่ดี แล้วการเกษียณมันจะต่างอะไรจากตอนที่ไม่เกษียณ
2. ดอกเบี้ยและสภาพร่างกายเปลี่ยนไปได้ตามกาลเวลา
การทำอะไรซ้ำๆกันวันละ 8 ชั่วโมงเพื่อล้มพับหรือรอเสพสุขตอนแก่เป็นเรื่องที่ไม่ฉลาดเป็นอย่างยิ่ง เพื่อนๆผมหลายคนหน้าตาเหี่ยวย่นทั้งๆที่อายุยังน้อยเพราะทำงานกองมหึมาและอด นอน งานกับการพักผ่อนเป็นเรื่องสำคัญ แต่ในชีวิตหนึ่งถ้าเทียบเป็นเปอร์เซ็นคุณพักผ่อนถึง 1 ใน 10 ของการทำงานหรือเปล่า เราไม่ควรทำงานหนักเพื่อสะสมความสุขยามเกษียณหรอก แถมประสิทธิภาพของคุณก็ขึ้นๆลงๆ คุณควรพักผ่อนและทำงานเฉพาะตอนที่คุณกำลังมีประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อสร้างผล ออกดอกและมีความสุขยิ่งกว่า
3. ทำน้อยไม่ได้แปลว่าขี้เกียจ
การทำงานเยอะแต่ส่วนใหญ่เป็นงานที่ไร้คุณภาพเป็นที่ยอมรับมากกว่าคนที่ทำงาน น้อยแต่มีประสิทธิภาพ บางคนเอาคุณภาพงานมาวัดด้วยเวลา ยิ่งนานแสดงว่ายิ่งขยัน การทำน้อยหลายๆครั้งสามารถสร้างผลงานได้มากกว่าการทำเยอะๆด้วยซ้ำ เศรษฐีมิติใหม่แม้จะทำงานในออฟฟิตน้อยกว่า แต่สามารถสร้างคุณค่าได้มากกว่าคนที่ทำงานเยอะ 10 คน เน้นทำตัวให้มีประสิทธิภาพ ไม่ใช่ทำตัวให้ยุ่ง
4. จังหวะที่ดีที่สุดไม่มีในโลก
ถ้าคุณอยากทำอะไรก็ลงมือเลย ติดขัดอะไรก็แก้ไขระหว่างทาง อย่ารอให้วันดีๆมาหาคุณโดยที่คุณไม่ได้ทำอะไร โลกไม่ได้กลั่นแกล้งคุณแต่ก็ไม่ได้เอาความสำเร็จใส่พานมาให้คุณด้วย การรอโอกาสและใช้คำว่า “ซักวันหนึ่ง” มันจะทำให้คุณเอาความฝันลงหลุมไปพร้อมกับคุณ
5. ทำไปก่อนค่อยมาขอโทษทีหลัง
ถ้าคุณลงมือทำตามใจที่คุณอยากทำแล้วไม่มีคนอื่นเดือดร้อน ไม่มีใครที่จะต้องเจ็บตัวจากการตัดสินใจของคุณ ทำไปเลย ไม่ต้องขออนุญาติใคร อย่ารอให้วันเวลาผ่านไปโดยไม่ลงมือทำ อย่าให้ใครมาห้ามคุณได้ คนส่วนใหญ่จะห้ามคุณไม่ให้คุณเร่งเครื่อง ถ้าคุณมั่นใจ คุณก็ไม่ควรหยุด ไว้เครื่องพังเมื่อไหร่ก็ค่อยขอโทษก็ได้
6. เน้นเพิ่มจุดแข็ง ไม่ต้องสนใจจุดอ่อน
คนส่วนใหญ่เก่งอยู่ไม่กี่ด้าน นอกนั้นห่วยหมด หลายคนเก่งคิดและทำไม่ได้เรื่อง ถ้ามันยุ่งยากนักก็จ้างคนอื่นทำให้แทนเลยสิ การเน้นจุดแข็งมีประโยชน์มากกว่าอุดรูรั่ว เน้นใช้อาวุธไม้ตายดีกว่าทำอะไรที่ไม่ถนัดครึ่งๆกลางๆ
7. อะไรที่มากเกินไปมักกลายเป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม
ของดีๆ ถ้ามีมากเกินไปก็จะไม่ดี โดยเฉพาะเรื่องของวัตถุกับเวลา เยอะไป มากไป หรือบ่อยไปก็ไม่ดี เพราะมันจะกลายเป็นพิษร้ายสำหรับคุณ บางคนทำงานหนักเพื่อซื้อสิ่งที่มันไม่จำเป็นต่อชีวิตเขา เป็นหนี้หัวโต กลายเป็นชีวิตต้องทำงานเพื่อวัตถุ เครียดว่าจะหาเงินมาผ่อนเดือนชนเดือนทันหรือเปล่า
8. เงินเพียงอย่างเดียวไม่ใช่ทางออก
คำว่า “ถ้ามีเงินเยอะกว่านี้” เป็นคำพูดของคนที่ชอบผลัดผ่อน เป็นการเลื่อนการตัดสินใจทำสิ่งสำคัญๆต่อชีวิตไปในภายภาคหน้า หลายๆเรื่องมันเป็นเรื่องที่ต้องลงมือทำเดี๋ยวนี้ แต่การใช้คำนี้ทำให้เหตุผลที่จะไม่ลงมือทำดูสวยงามทันที การพยายามทำอะไรซ้ำไปซ้ำมา ทำชีวิตให้ยุ่งเข้าไว้แล้วโกหกตัวเองว่าทั้งหมดทำเพื่ออนาคตเป็นเรื่องที่ ไม่เข้าท่า เป็นภาพลวงตา หลอกตัวเองสิ้นดี มันเป็นเกมส์ที่ทำให้เราไม่ต้องคิดเรื่องยากๆ ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่เรื่องเงิน แต่อยู่ที่คุณ
9. คิดถึงรายได้ที่เพียงพอทำให้คุณบรรลุเป้าหมาย
เศรษฐีมิติใหม่ไม่ได้สนใจเงินก้อนโต แต่เขาสนใจรายได้ที่จะทำให้เขาบรรลุเป้าหมายด้วยเวลาทำงานที่น้อยที่สุด และที่สำคัญเขาสนใจคุณภาพของรายได้มากกว่าปริมาณ อย่างเช่นนาย ก ทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวัน ได้เงิน 50,000 ต่อเดือน กับนาย ข ได้เงิน 25,000 ต่อเดือน แต่ทำงานวันละชั่วโมง กรณีอย่างนี้ถือว่านาย ข รวยกว่า เพราะถ้าเอาเวลาที่ใช้ไปมาหารกับรายได้น้อยกว่า นาย ข จะมีเวลาทำเงินและทำอย่างอื่นเพื่อบรรลุเป้าหมายตัวเองด้วย
10 ความเครียดคือยาเสริมและยาพิษ
คนที่หลีกหนีคำตำหนิทั้งหมดจะเป็นคนที่ไม่มีวันประสบความสำเร็จในชีวิต หลายๆครั้งถ้าไม่มีแรงกดดันชีวิตก็ไม่ก้าวหน้า ยิ่งเราสามารถสร้างความเครียดที่ดีเพื่อส่งเสริมชีวิตตัวเองได้มากเท่าไหร่ เรายิ่งมีโอกาสที่ชีวิตจะเติบโตและไปถึงฝั่งฝันได้มากขึ้นเท่านั้น อย่าพยายามหนีความเครียดด้วยการไม่ทำอะไรเลย ถ้าคุณแยกความเครียดที่ดีและเอามาใช้ประโยชน์ได้ ชีวิตคุณจะก้าวไปข้างหน้าเยอะเลย

ขอบคุณบทความจาก
(Tim Ferrise  ผู้เขียน The 4 Hour work week )
http://www.bejame.com/article/2761

วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2559

มาเลียนแบบ 10 ทักษะสำคัญของนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จกัน

ผู้นำทางธุรกิจที่ประสบสำเร็จ มักเป็นที่ยอมรับจากคนส่วนใหญ่..ว่าพวกเขาคือคนที่มีประสิทธิภาพ

พวกเขาเป็นนักตัดสินใจ นักลงมือ

แล้วอะไรกันล่ะที่จะทำให้เรากลายเป็นคนที่มีประสิทธิภาพแบบพวกเขา
ลองมาเรียนรู้ ‘การบริหารจัดการและทักษะทางธุรกิจ’ ของนักธุรกิจมืออาชีพที่เราสามารถนำมาปรับใช้และปฏิบัติตาม เพื่อให้เราสามารถเป็นได้อย่างพวกเขา

show_bFJFevRLn__FyCE9yoGM1r60IaF3EuIKbnxSZkJzYv8

1. จัดลำดับความสำคัญ

นักธุรกิจและผู้บริหารเก่งๆ มักจะมีการจัดลำดับงานว่าอะไรควรทำก่อน และอะไรควรทำที่หลัง คุณต้องมองให้ออกว่า “อะไรสำคัญ/ไม่สำคัญ” และอะไร “เร่งด่วน/ไม่เร่งด่วน” การจัดลำดับงานจะทำให้ได้งานที่มีคุณภาพ และทำงานเสร็จตามเวลาที่ต้องการ ทำตามลำดับนี้ค่ะ
  • สำคัญและเร่งด่วน
  • ไม่สำคัญแต่เร่งด่วน
  • สำคัญแต่ไม่เร่งด่วน
  • ไม่สำคัญและไม่เร่งด่วน (ถ้ามีสิ่งต้องทำเยอะๆ ลำดับนี้อาจไม่ได้ทำเลยก็ได้)

2. บริหารเวลาให้เป็น

ทุกคนมีเวลาวันละ 24 ชั่วโมงเท่ากัน อยู่ที่ว่าจะเอาเวลาไปทำอะไร
เริ่มต้นทันที อย่ารีรอ
ทางเลือกระหว่าง “ทำเลยโดยไม่รีรอ” กับ “เดี๋ยวค่อยทำทีหลัง” เป็นสิ่งที่แยกระหว่างคนที่ประสบความสำเร็จกับคนที่ไม่
นักธุรกิจประสบความสำเร็จจะใช้ตารางเวลาหรือการบันทึกเป็นเครื่องมือช่วยให้สามารถทำงานต่างๆ ให้เสร็จสิ้นในแต่ละวัน พวกเขาจะทำงานให้เสร็จสิ้นแล้วตามตารางงานที่ได้วางไว้แล้ว และเมื่อทำเสร็จพวกเขาจะให้รางวัลตัวเองด้วยการพักผ่อนเป็นระยะเวลาสั้นๆ เพื่อคลายเครียด และพร้อมที่จะใช้ความคิดเพื่อริเริ่มลงมือทำงานใหม่ๆ

3. รู้ว่าเมื่อไหร่ควรจะ “ตอบรับ” เมื่อไหร่ควรจะ “ปฏิเสธ”

อะไรคือเหตุผลที่ทำให้ผู้คนเลือกที่จะ “ตอบรับ” แทนที่จะ “ปฏิเสธ” ทั้งๆที่ในใจของพวกเขาอยากจะปฏิเสธ
เหตุผลก็คือ กลัวที่จะเสียโอกาส หรือในอีกกรณีหนึ่งคือ บางคนไม่อยากเสียมารยาทหรือทำให้ผู้อื่นรู้สึกแย่กับการถูกปฏิเสธ สุดท้ายก็เอางานมารับผิดชอบเสียเอง แต่จริงๆ มันขึ้นอยู่กับคุณเอง
ลองมาคิดดู ทุกคนต่างก็มีความปรารถนาและรู้ว่าอะไรสำคัญมากหรือสำคัญน้อยสำหรับตัวเรา มันไม่ใช่สิ่งที่เลวร้าย ถ้าคุณจะพูดว่า “ไม่” กับสิ่งที่คุณไม่ต้องการที่จะทำ หรือไม่สนใจที่จะทำ ตราบใดก็ตามที่สิ่งนั้นไม่ได้เป็นอันตรายต่อผู้อื่น

4. มีเป้าหมายอยู่ในใจ

นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจะมีภาพที่ชัดเจนของเป้าหมายที่พวกเขาต้องการ พวกเขาปรารถนาที่จะประสบความสำเร็จ โดยวางเป็นเป้าหมายที่ต้องสำเร็จต่อวัน ต่อสัปดาห์ และต่อปี มันช่วยให้พวกเขามองข้ามความกังวล และพวกเขาจะมีความเชื่อมั่นในตนเองว่าสามารถทำได้
กลยุทธ์ที่ ‘มีประสิทธิภาพและถูกเวลา’ สามารถนำไปสู่การประสบความสำเร็จและบรรลุเป้าหมาย ไม่มีอะไรจะเกิดขึ้นถ้าคุณมัวแต่รอคอย แต่มันจะเกิดขึ้นเมื่อคุณลงมือทำ

5. เรียนรู้อยู่เสมอ และแสวงหาวิธีการใหม่ๆ

ความรู้สามารถหาได้ทุกที่ มันไม่จำเป็นเสมอไปที่จะต้องเรียนรู้จากแค่ในห้องเรียน นักธุรกิจเก่งๆ มักรู้ดีว่า ความรู้อีกอย่างที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กันคือ ความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ พวกเขามักจะมองหากิจกรรมยามว่างที่ช่วยให้พวกเขาได้เรียนรู้ในทุกๆ วัน และชอบค้นหาอะไรก็ตามที่จะเปิดโลกทัศน์และมุมมองใหม่ๆ ให้กับพวกเขาเสมอ

6. จัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ

ในแง่ของธุรกิจ การจัดสรรทรัพยากร คือ การกำหนดงานที่เหมาะสมและบริหารทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพและประโยชน์สูงสุดต่อองค์กร
นักธุรกิจที่ดีจะรู้ว่า พวกเขาจะจัดสรรเวลาอย่างไรเพื่อให้งานเสร็จภายในกำหนด และมีพลังมากพอในการทำงานให้บรรลุเป้าหมายในทุกๆ วัน พวกเขาจะรู้ว่าลูกน้องคนไหนมีจุดดีจุดด้อยอย่างไร และเลือกใช้งานอย่างชาญฉลาด
สรุปก็คือพวกเขาเรียนรู้ที่จะเห็นคุณค่าของสิ่งที่มีในปัจจุบัน และสร้างสิ่งที่ยอดเยี่ยมจากสิ่งที่พวกเขามี

7. เลือกใช้เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ

เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของคุณ ยกตัวอย่างเช่น สมาร์ทโฟนดีดีสักเครื่อง สมาร์โฟนที่มีประสิทธิภาพและใช้งานได้หลากหลาย รองรับแอพพลิเคชั่นต่างๆ ย่อมมีประสิทธิภาพกว่าโทรศัพท์ธรรมดาที่โทรออกได้เพียงอย่างเดียว เพราะการสื่อสารในปัจจุบันมีมากมาย หลากหลายรูปแบบ ดังนั้นการเลือกใช้เครื่องมีที่มีประสิทธิภาพ ย่อมส่งผลให้การทำงานของเรามีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย

8. อยู่กับปัจจุบัน

นักธุรกิจที่มีประสิทธิภาพจะไม่มัวแต่กังวลและคิดถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง พวกเขาจะให้ความสำคัญกับปัจจุบัน และตั้งใจทำมันให้ดีที่สุด แทนที่จะกังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง และนำมาบั่นทอนจิตใจตัวเอง
ตราบใดที่เป้าหมายชัด แผนงานดี บุคคลากรยอดเยี่ยม ปัญหาตรงหน้าจะเป็นเพียงอุปสรรคท้าทายที่ไม่เคยทำให้เขาเปลี่ยนแปลงเส้นทางเดิน

9. มีความสามารถในการจัดการกับสิ่งไม่คาดคิด

เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลา และกับทุกคน นักธุรกิจที่ดีจะเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่เลวร้ายที่สุด และเตรียมวิธีการที่สามารถจัดการกับมันได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
พูดง่ายๆ คือ พวกเขามี Plan B เสมอ

10. ฝึกจับประเด็นให้เก่ง

นักธุรกิจที่ดีจะเป็นนักจับประเด็นที่ดี พวกเขาจะรู้ว่าควรจะเอาอะไรไว้ตรงไหน ชอบอ่านหนังสือพิมพ์ และรักการจดบันทึกเรื่องราวต่างๆ พวกเขามักจะยุ่งอยู่กับการติดตามข่าวสารใหม่ๆ เพราะชอบที่จะเก็บข้อมูลและเรื่องราวต่างๆ มาไว้ในคลังความคิดของพวกเขาเสมอ
การพูดคุยเจรจาของเขาจะไม่เยิ่นเย้อ พูดตรงประเด็น ฟังไม่หลุดประเด็น และยังสามารถดึงบทสนทนาให้เข้ามาอยู่ในร่องรอยที่ต้องการได้อีกด้วย
ท่านผู้อ่านทำได้กี่ข้อแล้วคะ อย่าลืมคอมเมนต์บอกด้านล่างกันนะคะ  ว่าเราเข้าใกล้ความสำเร็จแค่ไหนแล้ว?

ขอขอบคุณบทความจาก เว็บไซต์ตลาดปัญญา

วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2559

แนวคิดโรงงานสีเขียวเพื่ออุตสาหกรรมที่ยั่งยืน (ตอนจบ)

  

เนื่องจากการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ได้มีส่วนสร้างส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นมลพิษทางอากาศ มลพิษทางเสียง และขยะอุตสาหกรรม ทำให้ค่ายรถยนต์เบอร์สามของประเทศอย่าง ฮอนด้า ซึ่งมีพันธสัญญาเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการปรับปรุงสมรรถนะผลิตภัณฑ์ แต่ยังคำนึงถึงการนำวัตถุดิบหรือปัจจัยการผลิตที่เหลือใช้จากกระบวนการผลิตนำกลับมาใช้ใหม่ รวมถึงมุ่งอนุรักษ์ทรัพยากร

          เนื่องจากการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ได้มีส่วนสร้างส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นมลพิษทางอากาศ มลพิษทางเสียง และขยะอุตสาหกรรม ทำให้ค่ายรถยนต์เบอร์สามของประเทศอย่าง ฮอนด้า ซึ่งมีพันธสัญญาเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการปรับปรุงสมรรถนะผลิตภัณฑ์ แต่ยังคำนึงถึงการนำวัตถุดิบหรือปัจจัยการผลิตที่เหลือใช้จากกระบวนการผลิตนำกลับมาใช้ใหม่ รวมถึงมุ่งอนุรักษ์ทรัพยากรและพลังงานทุกขั้นตอน ตลอดวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่การค้นคว้า ออกแบบ การผลิต การขาย การบริการ และการกำจัดทำลาย สำหรับโครงการด้านสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย ฮอนด้าเน้นกิจกรรมที่เกิดประโยชน์สูงสุดกับชุมชนทั้งโรงเรียน ชุมชน องค์กรท้องถิ่น

        เกิดความสำนึกรักสิ่งแวดล้อมและร่วมกันแก้ไขปัญหาวิกฤต อาทิ ขยะ น้ำเสียและพลังงาน ตามแนวพระราชดำริให้เป็นรูปธรรม ฮอนด้าตระหนักดีว่าแนวทางดำเนินธุรกิจสะท้อนถึงพันธสัญญาที่บริษัทมีต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้มีความพยายามหาวิธีลดผลกระทบการดำเนินงานทุกขั้นตอนและส่งเสริมให้ศูนย์บริการ ผู้จำหน่าย ผู้ผลิตชิ้นส่วน นำระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม ระบบจัดการขยะและนำชิ้นส่วนรถยนต์หมดอายุใช้งานหมุนเวียนกลับมาใช้ประโยชน์ตามหลักการประเมินวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Assessment) หรือ LCA ฮอนด้าเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายแรกที่สามารถรีไซเคิลกันชนรถยนต์ที่หมดสภาพแล้วนำกลับมาใช้ใหม่ผ่านการรีไซเคิลและนำมาผลิตเป็นก้านดึงปุ่มกดล็อกประตูรถยนต์ รวมทั้งมีแผนนำเม็ดพลาสติกจากการรีไซเคิลกันชนรถยนต์มาผลิตเป็นบังโคลนและแผ่นรองใต้ตัวถังรถยนต์ในอนาคต ส่วนยางรถยนต์และน้ำมันเครื่องใช้แล้วจะถูกรวบรวมจากศูนย์บริการ ฮอนด้าเพื่อนำไปสังเคราะห์เป็นเชื้อเพลิงเผาซีเมนต์  ทำให้เกิดการใช้ทรัพยากรที่คุ้มค่าและลดปัญหาขยะตกค้าง นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญต่อแนวคิด โรงงานสีเขียว  เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายที่กำหนดให้โรงงานผลิตฮอนด้าทั่วโลกมีระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมและระบบบริหารจัดการพลังงานที่มีประสิทธิภาพ ทางบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ดำเนินกิจกรรมสิ่งแวดล้อมเพื่อรองรับแนวคิดดังกล่าว อาทิ

-  การลดปริมาณของเสียที่ส่งออกสู่ภายนอกให้เป็นศูนย์
-  ควบคุมการใช้พลังงานและทรัพยากรธรรมชาติ
-  นำระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมเข้ามาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดและปรับปรุงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
-  ดำเนินกิจกรรมเพื่อการอยู่ร่วมกันกับชุมชนในท้องถิ่น
-  สนับสนุนให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนมีส่วนร่วมรักษาสิ่งแวดล้อม

     การดำเนินกิจกรรมโรงงานสีเขียวของฮอนด้าประสบความสำเร็จในการสร้างสรรค์สิ่งแวดล้อมที่ดีให้แก่สังคม กิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้ส่งผลให้โรงงานผลิตรถยนต์ฮอนด้าได้รับการรับรองมาตรฐานการจัดการสิ่งแวดล้อม ISO 14001 ในฐานะผู้ผลิตเครื่องยนต์รายใหญ่ของโลก ทำให้ฮอนด้าตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและให้คำมั่นสัญญาร่วมปกป้องรักษาสภาพแวดล้อม ควบคู่กับการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพสูงและราคาเหมาะสม รวมถึงนโยบายส่งเสริมกิจกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมทั้งในส่วนของโรงงาน สำนักงานทุกภูมิภาคทั่วโลกและสนับสนุนให้บริษัทคู่ค้า ผู้แทนจำหน่ายของฮอนด้าร่วมกิจกรรมต่อเนื่อง

โรงงานฮอนด้า
               กรณีผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มเจ้าใหญ่ ค่ายเป๊บซี่ อย่าง บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน)ที่ให้ความสำคัญต่อการรักษาสิ่งแวดล้อม โดยมีการนำนโยบายสิ่งแวดล้อมมาใช้เป็นแนวทางปฏิบัติงานอย่างเคร่งครัดเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตลอดทั้งกระบวนการผลิต กรอบดำเนินโครงการสิ่งแวดล้อมของเสริมสุขที่ทำอย่างต่อเนื่องจนเกิดผลเป็นรูปธรรมที่ยั่งยืน โดยมุ่งสร้างวัฒนธรรมใจรักษ์สิ่งแวดล้อมที่พนักงานเสริมสุขทุกคนยึดถือปฏิบัติมาโดยตลอดอาทิ การแปรรูปด้วยแนวคิด 3R: คือ Reduce, Reuse และ Recycle โดยบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมในทุกโรงงานของเสริมสุข ประกอบด้วย โรงงานปทุมธานี โรงงานนครราชสีมา โรงงานนครสวรรค์ โรงงานสุราษฎร์ธานีและโรงงานชลบุรี โดยโรงงานปทุมธานีมีขนาดใหญ่ที่สุดและตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาจึงให้ความสำคัญมากจนได้รับรางวัล อนุรักษ์แม่น้ำเจ้าพระยาดีเด่น ในโครงการ"รักแม่ รักษ์แม่น้ำ" จากกระทรวงอุตสาหกรรม
อันเป็นโครงการตามพระราชเสาวนีย์เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถในการอนุรักษ์และฟื้นฟูลำน้ำเจ้าพระยา โดยเสริมสุขบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมภายใต้แนวคิดเสริมสุข กรีน ไดเมนชั่นส์ (Serm Suk Green Dimension) 5 มิติ ประกอบด้วย น้ำ บรรจุภัณฑ์ พลังงาน สภาพแวดล้อมในโรงงาน และทรัพยากรมนุษย์ เสริมสุขเป็นบริษัทแรก ๆ ที่เริ่มนำระบบบำบัดน้ำเสียที่มีประสิทธิภาพมาใช้ โดยเฉพาะโรงงานปทุมธานีซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา บริษัทได้สร้างระบบบำบัดน้ำเสียที่มีประสิทธิภาพสูงเพื่อบำบัดน้ำทิ้งก่อนปล่อยคืนสู่ธรรมชาติตามมาตรฐาน โดยมีการติดตามและควบคุมการทำงานของระบบบำบัดน้ำเสียตลอด 24 ชั่วโมงและการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำทั้งก่อนเข้าสู่ระบบบำบัดและหลังผ่านกระบวนการบำบัดก่อนปล่อยคืนสู่แม่น้ำ และลงทุนติดตั้งเครื่องมือตรวจวัดค่าความสกปรกน้ำทิ้งก่อนปล่อยออกจากโรงงานทั้ง 5 แห่ง   ซึ่งมีการเชื่อมโยงข้อมูลคุณภาพน้ำทิ้งผ่านระบบดาวเทียมไปยังกรมโรงงานอุตสาหกรรมเพื่อรายงานคุณภาพน้ำทิ้งตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้ง

                  ดำเนินโครงการนำน้ำทิ้งมาใช้และนำเชื้อจุลินทรีย์ส่วนเกินมาทำปุ๋ย บริษัทเสริมสุขได้บริหารจัดการน้ำทิ้งที่ผ่านการบำบัดแล้วมาใช้รดน้ำสวนหย่อม สนามหญ้า และต้นไม้ภายในโรงงาน โดยนำตะกอนจุลินทรีย์ที่ได้จากการย่อยสลายสิ่งสกปรกในน้ำมาใช้ทำปุ๋ยชีวภาพเพื่อบำรุงรักษาสวนหย่อม สนามหญ้าและต้นไม้ภายในโรงงาน นอกจากนี้บริษัทได้ริเริ่มการใช้ก๊าซมีเทนซึ่งเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพที่ได้จากการย่อยสลายจุลินทรีย์จากระบบบำบัดน้ำเสียเพื่อใช้ทดแทนการใช้น้ำมันเตาสำหรับหม้อน้ำ (Boiler) ของโรงงาน สามารถลดการใช้น้ำมันเตาได้ถึงปีละกว่า 200,000 ลิตร
นอกจากนี้เสริมสุขยังสนับสนุนการใช้พลังงานทางเลือก เช่น การใช้ก๊าซ NGV, LPG หรือ น้ำมันดีเซล B5 มาใช้ในหน่วยรถทุกประเภท นอกจากเป็นการช่วยประหยัดพลังงานแล้ว ยังช่วยลดภาวะโลกร้อนที่กำลังเป็นปัญหาสำคัญของโลกขณะนี้  ปัจจุบันบริษัทเสริมสุขคงเดินหน้าเพื่อเป้าหมายลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานตามนโยบายเสริมสุข กรีน ไดเมนชั่นส์ ทั้งโครงการเกี่ยวกับน้ำ บรรจุภัณฑ์ พลังงาน สภาพแวดล้อมภายในโรงงานและบุคลากรที่มุ่งเรื่องสิ่งแวดล้อม อาทิ การแนะนำตู้แช่ผลิตภัณฑ์รุ่นประหยัดพลังงานใหม่ ติดตั้งระบบระบายความร้อนให้มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยมีชุดระบายความร้อน ช่วยลดค่าบำรุงรักษา พร้อมทั้งระบบตัดไฟ ช่วยให้ร้านค้าสามารถประหยัดค่าไฟฟ้า 34% พร้อมรณรงค์ให้ผู้บริโภคช่วยกันประหยัดพลังงานโดยตู้แช่ใหม่จะมีสติ๊กเกอร์ Serm Suk Green Dimensions พร้อมข้อความ "กรุณาเลือกเครื่องดื่มก่อนเปิดตู้เพื่อประหยัดพลังงาน" ติดอยู่ทุกตู้ ส่วนเรื่องบรรจุภัณฑ์มีแผนลงทุนตั้งสายการผลิตขวดพีอีที เนื่องจากลักษณะคนรุ่นใหม่ที่เร่งรีบและตื่นตัวตลอดเวลา ทำให้แนวโน้มการใช้ขวดพีอีทีขยายตัวมากขึ้น ทั้งนี้เสริมสุขมีการพัฒนาขวดพีอีทีให้มีน้ำหนักเบาสำหรับเครื่องดื่มคริสตัลมาตั้งแต่ปี 2549 ขณะนี้บริษัทได้ขยายสู่การพัฒนาขวดพีอีทีที่บรรจุเครื่องดื่มเป๊ปซี่ใหม่ มีน้ำหนักเบา โดยใช้เทคโนโลยีการเป่าขวดในการผลิต ทำให้สามารถลดปริมาณการใช้เม็ดพลาสติกถึงปีละ 600 ตัน แสดงถึงความมุ่งมั่นความรับผิดชอบต่อสังคมในกระบวนธุรกิจ (CSR  in Process)

สมดุลการพัฒนาอย่างยั่งยืน

               บริษัท เครือ ซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCG ดำเนินนโยบายที่มุ่งพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม เครือซิเมนต์ไทยยึดหลักปรัชญาการดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน โดยสร้างคุณค่าให้ลูกค้า พนักงานและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย พร้อมทั้งสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนและระบบสิ่งแวดล้อมที่เครือ ซิเมนต์ไทยเข้าไปดำเนินธุรกิจ โดยกำหนดวิสัยทัศน์ชัดเจนการดำเนินธุรกิจที่ไม่เพียงแต่หวังผลกำไร แต่ต้องสร้างความยั่งยืนทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ทำให้การดำเนินธุรกิจของเครือ ซิเมนต์ไทย มุ่งมั่นที่จะลดผลกระทบทุกขั้นตอนและควบคุมกระบวนการผลิตให้ดีกว่ามาตรฐานที่หน่วยงานรัฐกำหนด โดยเฉพาะแนวคิด “SCG Do It Green” เป็นโครงการเพื่อสิ่งแวดล้อมของเครือซิเมนต์ไทย ที่มุ่งย้ำเตือนจิตสำนึกการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้กับพนักงานในเครือซิเมนต์ไทย โดยยึดหลัก 3R คือ ลดการใช้ทรัพยากร (Reduce) การใช้ทรัพยากรหมุนเวียนให้เกิดประโยชน์สูงสุด(Reuse/Recycle) การฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมให้มีใช้อย่างเพียงพอและยั่งยืน (Replenish) โครงการนี้ยังมีเป้าหมายใหญ่ที่การสร้างฝายชะลอน้ำ 10,000 ฝาย (ปี 2552) เพื่อฟื้นฟูธรรมชาติกลับคืนสู่สมดุลด้วย เบื้องต้นเครือซิเมนต์ไทย มุ่งปลูกฝังจิตสำนึกให้เกิดในกลุ่มผู้ใช้น้ำ ซึ่งมีหลายโครงการที่ช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำขาด น้ำเกิน และน้ำเสีย อาทิ โครงการแก้มลิง ช่วยรับและเก็บกักน้ำเอาไว้ เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ส่วนอีกโครงการหนึ่งซึ่งรู้จักกันดี คือ การสร้างฝายชะลอน้ำในป่าต้นน้ำ เครือซิเมนต์ไทย สร้างฝายชะลอน้ำในป่าต้นน้ำเขตพื้นที่จังหวัดลำปาง บริเวณรอบโรงงาน ปัจจุบันเครือซิเมนต์ไทยทำงานร่วมกันกับชุมชนบริเวณป่าต้นน้ำ ไม่ว่าจะเป็นชุมชนบ้านสามขา บ้านสาสบหก เป็นต้น การทำงานร่วมกันกับชาวบ้านในพื้นที่ ทำให้ทางเครือซิเมนต์ไทยได้เรียนรู้ดังคำที่ประบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เคยทรงตรัสไว้ว่า “เราจะสร้างฝายเพื่อให้เกิดป่า ปลูกป่าโดยไม่ต้องปลูก แต่ว่าถ้าป่ามีความชุ่มชื้น ต้นไม้ก็จะขึ้นเอง”กล่าวคือ เมื่อผืนป่ามีความชุ่มชื่น ต้นไม้ก็จะขึ้นเอง ความอุดมสมบูรณ์ของป่า สัตว์ป่า พืชผัก พันธุ์พืชก็จะกลับขึ้นมาเอง อย่างไรก็ตามข้อค้นพบอีกประการหนึ่งจากการร่วมกันสร้างฝายกับชุมชนไม่ใช่แค่เพียงฝายชะลอน้ำที่ถูกสร้างขึ้นในพื้นที่ป่าต้นน้ำ แต่ฝายยังถูกสร้างขึ้นในใจคนอื่นที่ไม่ได้อยู่บริเวณป่าต้นน้ำด้วย นั่นคือ “จิตสำนึกอนุรักษ์น้ำ”  เครือซิเมนต์ไทย เป็นองค์กรไทยรายแรกที่จัดทำนโยบายการจัดซื้อผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยกำหนดแนวปฏิบัติการจัดหาจัดซื้อที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Guidelines for Green Procurement) ตั้งแต่ปี 2547 นอกจากเป็นการแสดงเจตนารมณ์ในการเลือกใช้สินค้าและบริการที่ก่อให้เกิดผลกระทบสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุดแล้ว ยังผลักดันให้ผู้ผลิตเกิดการปรับปรุงและเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อสิ่งแวดล้อมสู่สังคมมากขึ้น โดยเห็นความสำคัญการจัดการสิ่งแวดล้อมผ่านห่วงโซ่อุปทานร่วมกับแนวปฏิบัติการจัดหาจัดซื้อที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมซึ่งให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนผู้ส่งมอบที่ไม่ผ่านเกณฑ์การจัดหาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้มีการปรับปรุงแก้ไข ทำให้สินค้าที่ออกสู่ตลาดเพื่อตอบสนองผู้บริโภคที่ใส่ใจดูแลสิ่งแวดล้อม ช่วยลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น กระดาษ Idea Green ลดการใช้ต้นไม้ 30% โดยใช้เยื่อ EcoFiber ที่ได้จากเศษวัสดุเหลือทิ้งจากผลิตผลทางเกษตรหรือ Green Series ที่ไม่ได้ใช้เยื่อจากไม้ใหม่ สินค้าวัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่าง ไม้สมาร์ทวูด แผ่นผนังและฝ้าสมาร์ทบอร์ด เป็นผลิตภัณฑ์ไฟเบอร์ซีเมนต์ที่ใช้เยื่อเซลลูโลสและปราศจากแอสเบสตอสในกระบวนการผลิต นับเป็นตัวอย่างแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ผ่านนวัตกรรมที่สร้างความแตกต่างและเพิ่มคุณค่าที่เป็นจุดขาย ส่วนบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การให้บริการจัดส่งสินค้าของเอสซีจี โลจิสติกส์ ด้วยการใช้พาหนะที่มีอัตราการบริโภคน้ำมันน้อย ลดการขนส่งเที่ยวเปล่าและการรวมเที่ยวส่งสินค้าเพื่อช่วยลดการใช้พลังงาน ลดมลภาวะและปริมาณก๊าซเรือนกระจก รวมทั้งลงทุนพัฒนา ปรับปรุงระบบการผลิตและระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม อาทิ โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตจากเชื้อเพลิงชีวมวล ด้วยการติดตั้งเครื่องจักรใหม่ทดแทนเครื่องจักรเดิมที่เก่าและประสิทธิภาพการทำงานต่ำ โดยติดตั้งอุปกรณ์ 2 ชุด คือ หม้อผลิตน้ำยาเคมีกลับคืน เทคโนโลยีสูงสุด

              ประเทศฟินแลนด์ กำลังการผลิตไอน้ำ 108 ตัน/ชั่วโมง และกังหันไอน้ำและเครื่องกำเนิดไฟฟ้า โดยใช้เทคโนโลยีจากประเทศญี่ปุ่น กำลังการผลิต 9.62 เมกะวัตต์ ส่วนโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการสิ่งแวดล้อมมีหลายโครงการย่อย อาทิ การเปลี่ยนเครื่องออกซิเจนใหม่ การติดตั้งระบบเพื่อลดการใช้สารเคมีในการฟอกเยื่อ การติดตั้งเครื่องกำจัดก๊าซที่มีกลิ่นจากกระบวนการผลิตเยื่อกระดาษ การติดตั้งเครื่องผลิตก๊าซจากเปลือกไม้ เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในเตาเผากากปูนขาว การติดตั้งเตาเผากากปูนขาว ทั้งนี้ประโยชน์โครงการดังกล่าวจะลดกลิ่นที่เกิดจากกระบวนการผลิตเยื่อกระดาษ ลดกากเหลือทิ้งในกระบวนการผลิตเยื่อกระดาษโดยไม่ต้องกำจัด ด้วยวิธีการฝังกลบภายในโรงงานอีกต่อไป รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพควบคุมคุณภาพน้ำทิ้งที่ปล่อยออกจากโรงงานให้มีคุณภาพ ด้วยการลดใช้ทรัพยากรจากสารเคมีที่ใช้กระบวนการฟอกเยื่อ เนื่องจากที่ผ่านมาโรงงานมักได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านเรื่องกลิ่นที่เกิดจากกระบวนการผลิต ทางบริษัทอนุมัติงบลงทุนด้านเทคโนโลยีเพื่อกำจัดกลิ่น โดยมองว่าการดำเนินการของโรงงานจะต้องรับผิดชอบต่อสังคมและสามารถอยู่ร่วมกับชาวบ้านอย่างมีความสุข บริษัทได้เชิญชาวบ้านในพื้นที่และชุมชนใกล้เคียง รวมทั้งผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้ร่วมรับฟังและแสดงความคิดเห็นอย่างโปร่งใสเพื่อเตรียมวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EIA-HIA) แสดงให้เห็นว่าทางบริษัทดำเนินโครงการอย่างโปร่งใส หลังติดตั้งเครื่องจักรใหม่เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตจากเชื้อเพลิงชีวมวลและโครงการปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการสิ่งแวดล้อม บริษัทสามารถผลิตไฟฟ้าใช้ภายในโรงงานเพิ่มขึ้นและลดการซื้อไฟฟ้าจากภายนอก คาดว่าจะลดการใช้น้ำมันเตาที่เคยมีการใช้ 5.3 ล้านลิตร/ปี ลดใช้ถ่านหินได้ปีละ 8,000 ตันและลดกลิ่นจากกระบวนการผลิตเยื่อกระดาษร้อยละ 70-80


แนวคิดการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน

               สำหรับ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด(มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป (EGCO GROUP) ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่แห่งแรกของไทย ถือเป็นบริษัทหนึ่งที่ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจควบคู่กับความรับผิดชอบต่อสังคม อาทิ การพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าสีเขียว ณ โรงผลิตไฟฟ้าขนอมและโรงผลิตไฟฟ้าระยอง ในปี 2553 ได้มีการพัฒนาโครงการหนึ่งป่าต้นน้ำหนึ่งต้นกำเนิดพลังงาน ในพื้นที่บ้านสันดินแดงและบ้านโป่งสะแยน จังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น การดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมหรือ CSR ของเอ็กโก กรุ๊ป ได้ถูกกำหนดเป็นส่วนหนึ่งของวิสัยทัศน์องค์กรที่ว่า“บริษัท ผลิตไฟฟ้าจำกัด(มหาชน) เป็นบริษัทชั้นนำที่ดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าครบวงจรและครอบคลุมถึงธุรกิจให้บริการด้านพลังงานทั้งในประเทศและภูมิภาคอาเซียนด้วยความมุ่งมั่นที่จะธำรงไว้ซึ่งสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาสังคม และมีพันธกิจรับผิดชอบและให้ความสำคัญต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เป็นหนึ่งในพันธกิจขององค์กร” ปัจจัยหนึ่งในการกำหนดโครงการ CSR ของเอ็กโก คือ ต้องเป็นโครงการหรือกิจกรรมที่มีความต่อเนื่อง เห็นได้จากโครงการหนึ่งป่าต้นน้ำหนึ่งต้นกำเนิดพลังงาน บ้านสันดินแดง เป็นโครงการที่มีระยะเวลาดำเนินการเพียง 90 วัน แต่ความยั่งยืนของโครงการไม่ใช่อยู่ที่ระยะเวลาดำเนินการ โครงการดังกล่าวเอ็กโกได้เข้าไปให้ความรู้และสร้างความภาคภูมิใจให้แก่คนในพื้นที่ร่วมกันดูแลรักษาป่าอันเป็นแหล่งต้นน้ำให้กับคนทั้งประเทศพร้อมกับสร้างโรงไฟฟ้าให้กับชุมชน โดยเลือกโรงไฟฟ้าพลังน้ำแทนไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ เนื่องจากต้องการให้ชุมชนเห็นความสำคัญของการอนุรักษ์ป่า ถ้าชุมชนช่วยกันรักษาป่าต้นน้ำ โรงเรียน สถานีอนามัย รวมถึงบ้านเรือนของสมาชิกในชุมชนก็จะมีไฟฟ้าใช้ แต่หากทำไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เขาก็จะไม่เห็นความเชื่อมโยงหรือความสำคัญของการอนุรักษ์ป่า เพราะถ้าป่าหมดแต่มีแสงแดดเขาก็ยังมีไฟใช้ นอกจากการใช้ไฟฟ้าที่เป็นกุศโลบายในการชี้ให้เห็นความสำคัญของป่าแล้ว การดำเนินโครงการยังต้องคำนึงถึงการก่อสร้าง วัสดุก่อสร้าง    

               การบำรุงรักษาและผลกระทบที่จะตามมา ในส่วนนี้เอ็กโกได้มีการวางรากฐานและออกแบบกลไกเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนโดยชุมชน เช่น วัสดุที่ใช้ก่อสร้างได้ถูกออกแบบให้มีความความกลมกลืนกับธรรมชาติมากที่สุด โดยออกแบบโรงไฟฟ้าให้มีลักษณะเหมือนกระท่อมกลางป่าเพื่อไม่ให้เกิดความแตกแยกกับธรรมชาติและออกแบบเสาพาดสายให้ใช้ต้นไม้ใหญ่ที่มีอยู่ตามธรรมชาติแทนเสาคอนกรีต ขณะเดียวกันกระบวนการซ่อมบำรุงและการบริหารจัดการไฟฟ้าในชุมชน เป็นไปภายใต้กระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน เช่น การตั้งคณะกรรมการที่เป็นสมาชิกในชุมชนมาร่วมพิจารณากฎระเบียบการใช้ไฟ และทีมช่างชุมชนทำหน้าที่ดูแลซ่อมบำรุงรักษาโรงไฟฟ้าเบื้องต้น แต่หากเกินความสามารถก็ให้แจ้งไปยังบริษัทเห็นได้ว่าโครงการดังกล่าวเป็นตัวอย่างหนึ่งในโครงการ CSR ที่มีผสมผสานแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืนเข้าไว้ด้วยกัน ล่าสุด เอ็กโก กรุ๊ป เข้าซื้อหุ้นสามัญ บริษัท เทพพนา วินด์ฟาร์ม จำกัด ผู้พัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังลม สัดส่วนร้อยละ 90 พร้อมตั้งเป้าขยายการลงทุนในโครงการพลังงานหมุนเวียนเป็น 300 เมกะวัตต์ ในปี 2558 ทางกรรมการผู้จัดการใหญ่ เอ็กโก กรุ๊ป กล่าวว่า  โครงการเทพพนา วินด์ฟาร์ม ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ เป็นโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคในโครงการผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (Very Small Power Producer) หรือ VSPP โดยมีการศึกษาเก็บข้อมูลความเร็วและทิศทางลมอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 3 ปี ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2552

ผลการศึกษาระยะแรกพบว่าพื้นที่ดังกล่าวมีศักยภาพผลิตไฟฟ้าพลังลมเชิงพาณิชย์ บริษัทจึงได้ตัดสินใจลงทุนโครงการดังกล่าว ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษารายละเอียดผลกระทบสิ่งแวดล้อม เจรจาเรื่องการก่อสร้างงานด้านวิศวกรรม จัดหาเครื่องจักร และก่อสร้างโรงไฟฟ้า (Engineering, Procurement and Construction) รวมถึงการจัดหาแหล่งเงินทุน และทำความเข้าใจกับชุมชนในพื้นที่ การลงทุนครั้งนี้ทาง เอ็กโก กรุ๊ป ต้องการขยายธุรกิจพลังงานทดแทน โดยมีเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเป็น 300 เมกะวัตต์ ภายในปี 2558 ปัจจุบันมีอยู่ราว 50 เมกะวัตต์ จากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ แกลบ และเศษไม้ยางพารา การลงทุนดังกล่าวเป็นการขยายธุรกิจพลังงานทดแทน สอดคล้องกับนโยบายภาครัฐที่สนับสนุนเรื่องพลังงานทดแทนและพลังงานสะอาด รวมถึงนโยบายของเอ็กโก กรุ๊ป เรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมด้วย
ที่มา: http://www.egco.com
                       สำหรับบริษัทมหาชนที่ดำเนินธุรกิจด้านพลังงาน บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเริ่มตั้งแต่กระบวนการผลิตในโรงงานจนถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยยึดถือนโยบายสีเขียว(Green Policy) ได้แก่ Green Plant, Green Process, Green People, Green Product และ Green Project เป็นมาตรฐานร่วมกันทั้งกลุ่มธุรกิจ เป็นปัจจัยหลัก ทำให้กลุ่ม ปตท. ได้รับการยอมรับระดับชาติจนถึงระดับสากลในฐานะกลุ่มบริษัทพลังงานแห่งชาติและผู้นำอุตสาหกรรมปิโตรเคมีของไทย อาทิ ระบบการจัดการพื้นที่ปฏิบัติงานสีเขียว (Green Plant) ที่ปรับปรุงเทคโนโลยีการผลิตอย่างต่อเนื่องทุกพื้นที่ได้รับการรับรองระบบบริหารคุณภาพ (ISO9001) และระบบจัดการสิ่งแวดล้อม (ISO14001) รวมทั้งนำหลักการ “ระบบนิเวศเศรษฐศาสตร์” ขององค์การสหประชาชาติเป็นแนวทางจัดการสิ่งแวดล้อมเป็นแห่งแรกในอาเซียน  ระบบจัดการกระบวนการผลิตสีเขียว (Green Process) เช่น การติดตั้งระบบควบคุมไอน้ำมันเชื้อเพลิงในคลังน้ำมันและสถานีบริการเพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพลูกค้าและพนักงาน  รวมทั้งมีการตรวจวัดคุณภาพน้ำและอากาศภายในโรงงานและชุมชนโดยรอบ ส่วนความปลอดภัยการทำงานของพนักงานซึ่งเป็นทรัพยากรหลักขององค์กร (Green People) กลุ่ม ปตท.ดำเนินงานตามระบบจัดการด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยจนผ่านการรับรองระบบจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย (มอก./OHSAS18001) ทุกพื้นที่ ด้วยความใส่ใจด้านสิ่งแวดล้อมนับตั้งแต่เริ่มต้นกระบวนการผลิต ทำให้เกิดผลิตภัณฑ์สีเขียว (Green Product) อาทิ น้ำมันไร้สารตะกั่ว ก๊าซเอ็นจีวี น้ำมันไบโอดีเซล น้ำมันดีเซลปาล์ม น้ำมันหล่อลื่นที่สามารถย่อยสลายทางชีวภาพและการนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากกระบวนการผลิตไปผลิตน้ำแข็งแห้งแทนการปล่อยสู่บรรยากาศ รวมทั้งพลาสติกสีเขียว (Green Plastic) นวัตกรรมล่าสุดของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีเมืองไทย กลุ่ม ปตท. เป็นรายแรกในอาเซียนที่ประกาศว่าเม็ดพลาสติกของกลุ่ม ปตท.เป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพผู้บริโภคตามมาตรฐานสากล กลุ่ม ปตท.นอกจากนโยบายสีเขียวจะกำหนดมาตรฐานการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังครอบคลุมถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งมั่นดำเนินโครงการที่เป็นโครงการสีเขียว (Green Project) อย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการลูกโลกสีเขียว โครงการปลูกหญ้าแฝก การสร้างชุมชนเข้มแข็งตามแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีส่วนร่วมสนับสนุน
             โครงการ“เพื่อนชุมชน”เพื่อแสดงความมุ่งมั่นดูแลสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตชาวระยองให้เป็นต้นแบบเมืองน่าอยู่ ที่มีการพัฒนาอุตสาหกรรมควบคู่การดูแลชุมชนผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน โดยให้ความสำคัญกับการสร้างระบบมาตรฐานการดำเนินงานความปลอดภัย-อาชีวอนามัย-สิ่งแวดล้อม (Safety-Health-Environment) หรือ SHE กลุ่มผู้ประกอบการต้องร่วมกันทำให้ดีกว่ากฎหมาย ระยะเริ่มต้นโครงการ “เพื่อนชุมชน” ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเข้าร่วม 5 บริษัท ได้แก่ ปตท. เอสซีจี บีแอลซีพี โกลว์ และดาว เคมิคอล อนาคตจะขยายความร่วมมือไปยังผู้ประกอบการโรงงานอื่นให้มากที่สุด รวมทั้งเชิญชวนภาครัฐและประชาสังคม เข้ามามีส่วนร่วมอย่างโปร่งใส ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นองค์กรต้นแบบเรื่องการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย ทั้งยังผลักดันให้โรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้มีการบริหารจัดการที่ดีเช่นเดียวกับองค์กรต้นแบบเพื่อให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การรวมกลุ่มเพื่อนชุมชนมีแผนการทำงาน ร่วมกัน 3 ด้าน คือ

- ปฏิบัติการโรงงานสีเขียว (Green Operation) โดยทำข้อตกลงเป็นพี่เลี้ยงช่วยพัฒนาจัดการด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยให้มีมาตรฐานทัดเทียมกัน ตามแนวทาง “เพื่อนช่วยเพื่อน” เพื่อให้มีมาตรฐานสูงกว่ากฏหมายกำหนดและดำเนินการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง พร้อมถ่ายทอดความรู้และแบ่งปันประสบการณ์เพื่อยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมให้สูงทัดเทียมกัน โดยมุ่งสู่กระบวนการตรวจสอบดูแลตัวเองและพัฒนาสู่การผลิตสีเขียว(Green Manufacturing) โดยมีความร่วมมือกับภาครัฐและชุมชนพัฒนาให้เป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศน์ที่มีการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย รวมทั้งให้ชุมชนมีส่วนร่วมในกระบวนการตรวจสอบทั้งด้านการปฎิบัติการโรงงาน การตรวจวัดมลพิษด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย โดยจัดทำมาตรการลดผลกระทบและการสื่อสารแจ้งเหตุ ตลอดจนความร่วมมือในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินและการฝึกซ้อมเตรียมความพร้อมให้กับโรงงานอุตสาหกรรมและชุมชน

- การดูแลเอาใจใส่ชุมชนด้วยความจริงใจ (Beyond CSR) โดยศึกษาความต้องการที่แท้จริงของชุมชนเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชนและทำแผนการสื่อสารแนวทางปฏิบัติให้ทุกชุมชน ทั้งนี้มุ่งหวังให้อุตสาหกรรมกับชุมชนสามารถอยู่ร่วมกันและเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นพัฒนาสุขภาพและการศึกษาของชุมชน ครอบคลุมพื้นที่ มาบตาพุด ห้วยโป่ง เนินพระ ทับมา มาบข่า และบ้านฉาง ด้านสุขภาพได้ร่วมมือกับภาครัฐในการตรวจสุขภาพให้ชุมชนเพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลอย่างเป็นระบบ อาทิ จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ การให้ทุนการศึกษาแก่นักศึกษาพยาบาล 200 ทุนภายใน 4 ปี ทางด้านการศึกษาได้พัฒนาคุณภาพโรงเรียนและจัดทุนการศึกษาแบบต่อเนื่องถึงระดับอุดมศึกษา

- การสื่อสารเสริมสร้างความเข้าใจ (Communication) สนับสนุนให้อุตสาหกรรมร่วมมือกันพัฒนาการจัดการสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยสู่อุตสาหกรรมสะอาดเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจและสร้างความมีส่วนร่วมกับชุมชนอย่างโปร่งใสเกี่ยวกับการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยของอุตสาหกรรม โดยจัดตั้งศูนย์ให้ความรู้ชุมชน รับข้อร้องเรียน และประสานงานในการแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็ว ตลอดจนสื่อสารเสริมสร้างความรู้การรับมือเหตุฉุกเฉินให้ทุกชุมชน ตั้งแต่การรับแจ้งเหตุ แนวทางปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุและการให้ความช่วยเหลือ นอกจากนี้ยังจัดเวทีชุมชนให้ความรู้เกี่ยวกับอุตสาหกรรมสะอาดเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และรับฟังเสียงสะท้อนจากชุมชนเพื่อนำมาปรับปรุงให้ดีขึ้น
      
                 นอกจากนี้กลุ่มเพื่อนชุมชนร่วมกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิด 8 โรงงานสีเขียว ให้ 33 ชุมชน เขตมาบตาพุดจำนวนกว่า 400 คน เข้าเยี่ยมชมซึ่งเป็นไปตามแนวคิด “เพื่อนใกล้ชิด มิตรใกล้บ้านโรงงานสีเขียว” โรงงานที่เปิดให้ประชาชนเยี่ยมชมได้แก่ บริษัท โกลว์ จำกัด บริษัท บีแอลซีพี เพาเวอร์ จำกัด บริษัท ดาว เคมิคอล ประเทศไทย จำกัด บริษัท ระยองโอเลฟินส์ จำกัด บริษัท ปตท เคมิคอล จำกัด (มหาชน) บริษัท วีนิไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท กรุงเทพ ซินธิติกส์ จำกัด และ บริษัท สยามยูไนเต็ดสตีล (1995) จำกัด รวมทั้ง การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ทั้งนี้เพื่อให้ผู้เยี่ยมชมตรวจสอบการทำงานของโรงงาน
โดยเฉพาะการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมและพร้อมรับฟังความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะต่าง ๆ จากชุมชน เพื่อนำมาปรับปรุงการบริหารงาน ทั้งนี้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ ที่กำหนด ทั้งคุณภาพน้ำ อากาศ ด้วยการติดตั้งระบบตรวจวัดแบบออนไลน์ต่อตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งมีสัญญาณเชื่อมโยงไปศูนย์ปฏิบัติการและควบคุมคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่สำนักงานนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด โดยมีการแสดงผลผ่านเว็บไซต์เพื่อให้ชุมชนได้มีส่วนร่วมเฝ้าระวังด้วยตนเอง

ความสัมพันธ์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
           ส่วนผู้ผลิตอาหารรายใหญ่อย่าง บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ได้มุ่งสร้างค่านิยมและแนวทางปฏิบัติให้พนักงานทุกระดับต้องคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม นอกเหนือจากการผลิตที่มีมาตรฐานและไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งสร้างจิตสำนึกของพนักงานให้เป็นส่วนหนึ่งในการร่วมอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมที่ไม่เพียงนำความสมบูรณ์ทางธรรมชาติคืนสู่ผืนโลกเท่านั้น
แต่สนับสนุนให้บุคลากรได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมเพื่อสังคมและพัฒนาชุมชน โดยมีการปลูกฝังค่านิยมในตัวพนักงานทุกคนว่า ในฐานะเป็นสมาชิกของชุมชนที่ต้องมีส่วนสร้างคุณค่าและความยั่งยืนให้เกิดทั้งตัวพนักงานองค์กรและสังคมส่วนรวม ซีพีเอฟ มีนโยบายประหยัดพลังงาน เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และลดต้นทุนการผลิต ที่บริษัทให้ความสำคัญโดยตลอด โดยผู้บริหารและพนักงานทุกระดับถือเป็นหน้าที่จะต้องปฏิบัติจริงจังในการอนุรักษ์พลังงาน เน้นความมีส่วนร่วมปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักรด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ลดความสูญเสียด้วยนวัตกรรมประหยัดพลังงานมาใช้และยึดมั่นการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ที่สำคัญบริษัทได้ปลูกฝังค่านิยมการอนุรักษ์พลังงานว่าเป็นหน้าที่ของทุกคน ทำให้พนักงานทุกคนค้นหาวิธีลดการใช้พลังงาน
ดังตัวอย่าง โรงงานผลิตอาหารสัตว์ปักธงชัย จ.นครราชสีมา พนักงานควบคุมหม้อไอน้ำ สังเกตเห็นอุณหภูมิปล่องไอเสียมีค่าสูงและคิดว่าน่าจะนำกลับมาใช้ได้ จึงเริ่มศึกษาและทำการทดลอง กระทั่งสร้างสรรค์นวัตกรรมทางพลังงานชื่อว่า Economizer หรือ “เครื่องแลกเปลี่ยนความร้อน” ที่ไม่เพียงช่วยลดการสูญเสียพลังงานความร้อน   แต่ยังช่วยลดการใช้พลังงานในกระบวนการผลิตอาหารสัตว์ การใช้พลังงานความร้อนในโรงงานอาหารสัตว์จะเพิ่มอุณหภูมิน้ำร้อนถึง 105 องศาเซลเซียสก่อนส่งเข้าไปในหม้อไอน้ำ  โดยความร้อนที่กระบวนการผลิตปล่อยทิ้งเมื่อนำกลับมาใช้ใหม่ผ่านระบบ Economizer สามารถทำให้น้ำป้อนก่อนเข้าหม้อไอน้ำมีอุณหภูมิสูงขึ้น นอกจากลดความร้อนสูญเปล่าที่ถูกปล่อยทิ้งแล้วยังลดการใช้พลังงานในการเพิ่มอุณหภูมิน้ำป้อน โรงงานอาหารสัตว์ปักธงชัยจึงติดตั้งเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อนเป็น 2 เฟส สามารถใช้ความร้อนจากปล่องไอเสียมาอุ่นน้ำป้อนเข้าหม้อไอน้ำ
โดยเฟสแรกจะให้อุณหภูมิน้ำป้อนก่อนเข้าสู่กระบวนการสูงขึ้นจาก 29 องศาเซลเซียสเป็น 47 องศาเซลเซียส แล้วจึงติดตั้งเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อนในเฟส 2 ช่วยเพิ่มอุณหภูมิน้ำจาก 47 องศาเซลเซียสเป็น 60 องศาเซลเซียสและใช้ไอน้ำเพิ่มอุณหภูมิน้ำถึง 105 องศาเซลเซียส ดังนั้น Economizer สามารถเพิ่มอุณหภูมิน้ำป้อนได้ 18 องศาเซลเซียสในเฟสแรกและเพิ่มอีก 13 องศาเซลเซียส ในเฟส 2 รวมแล้วสามารถเพิ่มอุณหภูมิน้ำได้ถึง 31 องศาเซลเซียส การนำพลังงานสูญเปล่ากลับมาใช้ใหม่อย่างมีประสิทธิผลช่วยประหยัดพลังงาน 637,551 บาทต่อปี โครงการ Economizer เกิดขึ้นจากความคิดพนักงานที่สามารถคว้ารางวัลชนะเลิศจากการประกวดผลงานพลังงานทดแทนและการอนุรักษ์พลังงานระดับภูมิภาคหรือ ASEAN ENERGY AWARDS 2010 ประเภท Special Submission
 ซึ่งมุ่งหวังให้เป็นต้นแบบโครงการประหยัดพลังงานที่สามารถนำไปขยายผลในโรงงานอาหารสัตว์อื่นของซีพีเอฟอย่างมีประสิทธิภาพ โรงงานปักธงชัยยังได้รับคัดเลือกให้รับรางวัล Thailand Energy Award 2010 และรางวัล The Prime Minister Industry Award 2010 ประเภทการจัดการพลังงาน ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้โรงงานอาหารสัตว์อื่นของซีพีเอฟ ต่างมุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านพลังงานอย่างต่อเนื่องเช่นกันอาทิ โรงงานท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา ได้นำความร้อนทิ้งจากปล่องไอเสียมาอบข้าวโพดอย่างมีประสิทธิภาพ

           สำหรับโรงงานแปรรูปเนื้อไก่ซีพีเอฟ มีนบุรี.จัดทำโครงการใช้พลังงานแสงอาทิตย์แบบผสมผสานเพื่อใช้อบอาหารแห้งและยืดอายุการเก็บรักษาให้นานขึ้น โดยร่วมกับกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและกรมอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งไม่เพียงแค่ลดปัญหาภาวะโลกร้อน ยังช่วยลดต้นทุนการผลิต “โครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบผสมผสาน” เป็นโครงการอนุรักษ์พลังงานที่ใช้ความร้อนจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Collector) และความร้อนจากเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อน (Economizer) มาทำงานร่วมกัน การทำงานของระบบดังกล่าวจะผลิตน้ำร้อนป้อนเข้าหม้อไอน้ำทดแทนการใช้น้ำมันเตา ด้วยการนำน้ำอุณหภูมิปกติ 30 องศาเซลเซียส  มาทำให้ร้อนขึ้นเป็น 60 องศาเซลเซียส โดยอาศัยความร้อนจากพลังงานแสงอาทิตย์ ผ่านชุด Solar Collector จำนวน 195 แผง พื้นที่การรับแสง 2.56 ตารางเมตรต่อแผง คิดเป็นพื้นที่รับแสงรวม 499.2 ตารางเมตร สามารถรับพลังงานแสงอาทิตย์ 8 ชั่วโมงต่อวัน
 ทำให้ได้น้ำร้อนที่ผลิตจากชุด Solar Collector ประมาณ 20,000,000 ลิตร/ปี ความร้อนที่ได้จากเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อนที่ปล่องไอเสียของหม้อไอน้ำมีอุณหภูมิ 210 องศาเซลเซียส ส่วนนี้เองได้นำมาผสมผสานการทำงานร่วมกันทดแทนการใช้น้ำมันเตาในการผลิตน้ำร้อนเพื่อป้อนเข้าหม้อไอน้ำ แล้วนำไปใช้ในกระบวนการแปรรูปเนื้อไก่ตั้งแต่ขั้นตอนการจัดการขน คุณภาพซากเนื้อ ด้วยอุณหภูมิความร้อนที่เหมาะสมภายในโรงงาน เมื่อนำไปใช้เป็นน้ำป้อนเข้าหม้อไอน้ำในกระบวนการผลิต คาดว่าสามารถลดการใช้น้ำมันเตาที่เคยใช้เป็นเชื้อเพลิงผลิตไอน้ำได้ปีละ 146,283 ลิตร คิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่าปีละ 2.7 ล้านบาท โครงการนี้ช่วยลดต้นทุนการผลิต ลดภาวะโลกร้อน และการนำพลังงานธรรมชาติมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ด้วยเหตุนี้โรงงานแปรรูปไก่เนื้อมีนบุรี ได้รับรางวัล Thailand Energy Awards 2011 ด้านการอนุรักษ์พลังงานจากกระทรวงพลังงาน
โครงการใช้พลังงานแสงอาทิตย์แบบผสมผสาน


              นอกจากนี้โรงงานแปรรูปสัตว์น้ำแกลง อ.แกลง จ.ระยอง ได้รับเลือกจากกระทรวงอุตสาหกรรมให้ได้รับเกียรติบัตร CSR-DIW ของกรมโรงงานอุตสาหกรรมซึ่งเป็นมาตรฐานที่อิงหลักเกณฑ์การปฏิบัติจากมาตรฐานระหว่างประเทศว่าด้วยการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม (ISO 26000 Social Responsibility) ขององค์กรระหว่างประเทศว่าด้วยการมาตรฐานที่เพิ่งประกาศใช้เมื่อปลายปี 2553 เพื่อให้องค์กรธุรกิจทั่วโลกแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมด้วยความสมัครใจ โดยดำเนินกิจกรรม CSR หลากหลายรูปแบบอย่าง โครงการปลูกป่าชายเลนร่วมกับชุมชนและหน่วยงานรัฐให้เป็นที่อยู่ของสัตว์น้ำและรักษาระบบนิเวศน์ เพื่อประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการส่งเสริมอาชีพและสร้างความปลอดภัยให้ชุมชน กิจกรรมเพื่อสังคมของโรงงานแห่งนี้ถือเป็นเพียงส่วนหนึ่งของ ซีพีเอฟ ที่ดำเนินธุรกิจภายใต้การตระหนักถึงสังคม ชุมชนและสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอดตามปรัชญาการดำเนินธุรกิจของเครือเจริญโภคภัณฑ์ที่คำนึงถึงหลัก 3 ประโยชน์ คือ ธุรกิจของบริษัทต้องเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ประโยชน์ต่อประชาชน และประโยชน์ต่อบริษัท ขณะเดียวกันซีพีเอฟวางเป้าหมายทำงานด้านความยั่งยืนด้วยการทำกิจกรรมเพื่อสังคมหรือ CSR  ให้ทุกหน่วยงานของซีพีเอฟต้องนำไปปฏิบัติ รวมถึงระบุค่านิยมองค์กร หรือ CPF Way ข้อที่ 6 ว่าด้วยการตอบแทนบุญคุณแผ่นดินและการดำเนินนโยบายด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม (CPF SHE) ซึ่งบริษัทให้ความสำคัญด้าน SHE อย่างมากจึงได้มีการขยายระบบ SHE Management สู่กลุ่มฟาร์มเลี้ยงสัตว์ โดยมีเป้าหมาย 100% รวมถึงการสร้างสรรค์โครงการอาสาสมัคร SHE ภายในโรงงาน สำหรับกิจกรรมอาสาสมัคร SHE มีโรงงานแปรรูปเนื้อไก่นครราชสีมา เป็นต้นแบบสร้างสรรค์ เนื่องจากจำนวนพนักงานภายในโรงงานมีมากกว่า 4,000 คน ดังนั้นการมุ่งสร้างเสริมสุขภาพและความปลอดภัยเพื่อให้เข้าถึงพนักงานทุกคนเป็นการยาก จึงต้องสร้างบุคลากรเพื่อเป็นเครือข่ายด้าน SHE ในการร่วมพัฒนางานภายใต้หลักการส่งเสริมให้พนักงานมีส่วนร่วมดูแลสุขภาพตนเองในรูปแบบอาสาสมัคร

           โดยอาสาสมัครจะเป็นแกนนำในการพัฒนางาน SHE ในหน่วยงาน ทำให้การดำเนินงานด้าน SHE ภายในโรงงานนครราชสีมาเกิดประสิทธิผล แม้ว่ากลุ่มฟาร์มเลี้ยงสัตว์มีระบบจัดการด้วยกลไกการพัฒนาที่สะอาดแล้ว ทางซีพีเอฟขยายผลด้วยการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีจากการปลูกไม้ยืนต้นในพื้นที่ฟาร์ม นอกจากเป็น การเพิ่มพื้นที่สีเขียว เพื่อลดภาวะโลกร้อนแล้วและสร้างภูมิทัศน์ที่ดีของฟาร์มแล้ว ยังช่วยลดผลกระทบจากการเลี้ยงสัตว์ ในด้านกลิ่น ฝุ่น และแรงลม เป็นอย่างดี
 ทำให้ซีพีเอฟและเครือเจริญโภคภัณฑ์ เป็นองค์กรที่ได้รับรางวัลด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและลิ่งแวดล้อมในการทำงาน ประจำปี 2553 มากที่สุดในประเทศไทย อาทิ รางวัลเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานดีเด่นระดับประเทศ ทีมฉุกเฉินประจำสถานประกอบกิจการดีเด่นระดับประเทศ รวมทั้งได้รับรางวัล Zero Accident จากกระทรวงแรงงาน และรางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น ประจำปี 2553 ด้านการบริหารความปลอดภัยและการจัดการพลังงาน จากกระทรวงอุตสาหกรรม แสดงถึงการปลูกฝังจิตสำนึกพนักงานซีพีเอฟให้ตระหนักถึงสังคม ชุมชนและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด

เอกสารอ้างอิง
1. Joel Makower, Strategies for the Green Economy: Opportunities and Challenges in the New World of Business, McGraw-Hill, 2009.
2. Pamela J.Gordon, Lean and Green Profit for Your Business and the Environment, Berrett-Koehler Publishers, 2001.
3. โกศล  ดีศีลธรรม, เพิ่มศักยภาพการแข่งขันด้วยแนวคิดลีน, ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2548.
4. โกศล ดีศีลธรรม, ผลิตภาพ : ปัจจัยพัฒนาสู่การแข่งขันยุคใหม่,สำนักพิมพ์ผู้จัดการ, 2550.
5. โกศล ดีศีลธรรม, โลจิสติกส์และห่วงโซ่อุปทานสำหรับการแข่งขันยุคใหม่,สำนักพิมพ์ฐานบุ๊คส์, 2551.
6. โกศล ดีศีลธรรม, องค์กรทำดีเพื่อสังคม, สำนักพิมพ์ MGR 360?, 2554.
7. รายงานประจำปี 2552 บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน)
8. รายงานการพัฒนาอย่างยั่งยืน 2552  เครือซีเมนต์ไทย (SCG).
9. สรุปสาระงานเสวนา “CSR Thailand 2011 ไม่ทำ ไม่ได้แล้ว” สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย
10. http://www.brandage.com
11. http://www.bangkokbiznews.com
12. http://www.cpfworldwide.com/
13. http://www.csri.or.th
14. http://www.egco.com
15. http://www.green.in.th
16. http://green.industry.go.th
17. http://www.greennet.or.th
18. http://www.honda.co.th
19. http://www.logisticsdigest.com
20. http://www.manager.co.th/
21. http://www.marketeer.co.th/
22. http://www.mcot.net
23. http://www.measwatch.org/
24. http://www.prachachat.net
25. http://www.pttplc.com
26. http://www.siamcement.com/
27. http://www.th.kimberly-clark.com/
28. http://www.toyota.co.jp/en/environment/vision/green/pdf/all.pdf
29. http://www.toyota.co.th/sustainable_plant/sustainable.html
30. http://www.worldwheelsweb.com
**สงวนลิขสิทธิ์ ตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ ห้ามลอกเลียนแบบหรือทำซ้ำไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง นอกจากจะได้รับอนุญาต
บทความโดย อาจารย์โกศล  ดีศีลธรรม
koishi2001@yahoo.com


วันอังคารที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2559

แนวคิดโรงงานสีเขียวเพื่ออุตสาหกรรมที่ยั่งยืน (ตอนที่ 1)

  

   
     ปัจจุบันแนวคิดผลิตภาพสีเขียวที่มุ่งความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมีแนวโน้มพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกระแสความรับผิดชอบต่อสังคมหรือ CSR ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการให้ความสำคัญต่อการพัฒนารูปแบบธุรกิจสีเขียว ผลการศึกษาผู้บริโภคทั่วโลกของ บริษัท บอสตัน คอนซัลติง กรุ๊ป (Boston Consulting Group) หรือ BCG พบว่าผู้บริโภคเลือกซื้อสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเป็นอันดับแรกและ 73% ของชาวอเมริกันเห็นว่าประวัติผู้ประกอบการที่รณรงค์เรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นตัวแปรหลักในการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการ
ดังตัวอย่างบริษัทซีร็อกซ์สามารถประหยัดค่าออกแบบและต้นทุนการผลิตไม่น้อยกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์ ส่วนโตโยต้าใช้สายการผลิตเดียวกับรถยนต์หลายรุ่นจนประหยัดพลังงานในโรงงานกว่า 30% ดังนั้นการดำเนินธุรกิจด้วยความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจะสนับสนุนให้เกิดผลิตภาพสีเขียวและสร้างคุณค่าที่ตอบสนองความต้องการลูกค้า ทำให้แนวโน้มหลักที่มุ่งสู่ความเป็นองค์กรสีเขียวที่มุ่งความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย

    1. การใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้น เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของประชากรและการขยายตัวของพื้นที่เมือง ทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้ามากขึ้นและพลังงานสะอาดที่ไม่ได้มาจากเหมืองถ่านหินซึ่งสร้างมลภาวะและแก๊สเรือนกระจก อาทิ พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ เซลล์เชื้อเพลิงเหลว

    2. การบริหารทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิผล โดยมุ่งการใช้ซ้ำและรีไซเคิลมาใช้ใหม่เพื่อประหยัดน้ำที่ใช้ในการอุปโภคบริโภคมากที่สุด รวมทั้งปรับปรุงคุณภาพน้ำดื่มและตั้งโรงงานบำบัดเพื่อจัดการน้ำทิ้งจากอาคารบ้านเรือน

    3. การออกกฎหมายและนโยบายควบคุมการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยกำหนดมาตรฐานและข้อบังคับร่วมกับความสมัครใจในการควบคุมระดับการก่อมลพิษ ด้วยการลงนามร่วมกันระหว่างรัฐบาลประเทศต่าง ๆ ในอนาคตอาจมีการออกกฎหมายควบคุมระดับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของรถแต่ละคันและการเก็บภาษีรถที่สร้างมลพิษ เพื่อให้เกิดการควบคุมบนมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก

    4. การดำเนินธุรกิจตามวิถีองค์กรสีเขียว โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและสังคมที่มุ่งเสนอสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้กับผู้บริโภค รวมถึงการใช้เทคโนโลยีสะอาดและลดความสิ้นเปลืองการใช้พลังงาน

    5. ดำเนินการขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากสาเหตุการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สู่บรรยากาศเกิดจากกิจกรรมดังกล่าวมีสัดส่วนราว 1 ใน 3 ทำให้กระตุ้นการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนและพลังงานสะอาดที่ใช้กับรถยนต์ รวมทั้งรถยนต์ไฮบริดที่ใช้พลังงานไฟฟ้า

    6. แนวโน้มสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมออกสู่ท้องตลาดมากขึ้น เป็นผลจากกระแสตื่นตัวต่อปัญหาสิ่งแวดล้อม ทำให้ผู้ประกอบการมุ่งผลิตสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อตอบสนองความต้องการผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพและคุณภาพสิ่งแวดล้อมมากขึ้น 

    7. การพัฒนาแนวคิดเชิงระบบเพื่อวิเคราะห์ผลกระทบกิจกรรมการผลิตต่อสภาพแวดล้อม แต่เดิมประเด็นดังกล่าวจะพิจารณาประเมินตัวผลิตภัณฑ์ กระบวนการผลิต และโรงงานว่ากระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไร แต่ศตวรรษใหม่นี้จะพิจารณาทั้งระบบตลอดห่วงโซ่อุปทาน และพิจารณาผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมทั้ง ระดับชุมชน ระดับประเทศ และระดับโลก

    8. เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของประชากรและขยายตัวของเขตเมือง ทำให้เกิดการทำลายทรัพยากรธรรมชาติและมลภาวะมากขึ้น รวมทั้งความเปลี่ยนแปลงที่อยู่ของประชากรตามการขยายตัวของครอบครัว ทำให้สิ่งอำนวยความสะดวกและระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานขยายตัว

    9. ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ทำให้การติดต่อสื่อสารสะดวกและสามารถทำงานได้จากที่พักอาศัยแทนการเดินทางไปสำนักงาน ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายเดินทางมีแนวโน้มลดลงและสนับสนุนการพัฒนาแนวคิดสีเขียวเกิดประสิทธิผล

    10. อาคารสีเขียว สำหรับอาคารยุคใหม่มุ่งบริหารจัดการพลังงานภายในอาคาร ทำให้สถาปนิกและวิศวกรออกแบบอาคารภายใต้แนวคิดลดสภาวะโลกร้อน อาทิ การใช้แสงสว่างธรรมชาติให้อาคาร การใช้ระบบพลังงานทางเลือก ระบบบริหารจัดการน้ำแบบหมุนเวียนซ้ำ รวมทั้งปรับปรุงผังเมืองใหม่ให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เช่น การกำหนดพื้นที่สีเขียว การจัดพื้นที่รับอากาศบริสุทธิ์ในชุมชน ทำให้มีแนวโน้มว่าจะมีการกำหนดกฎเกณฑ์เข้มงวดเกี่ยวกับอาคารสีเขียวในอนาคต


   นอกจากนี้ประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ให้ความสำคัญต่อประเด็นดังกล่าว เนื่องจากไม่ได้มองปัญหาเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่มองเป็นความท้าทายสำคัญในมิติการพัฒนาประเทศ ทำให้ทิศทางแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 ให้ความสำคัญต่อนโยบายเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
โดยมีข้อเสนอให้ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศสู่เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ด้วยการส่งเสริมกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ เศรษฐกิจที่คำนึงถึงความสมดุลและยั่งยืนในการผลิตและบริโภค ส่งเสริมการผลิตสะอาด การลงทุนในภาคการผลิตที่เน้นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

   
   โดยกำหนดมาตรการจูงใจทางเศรษฐศาสตร์ทั้งการเงิน การคลัง การปรับระบบภาษี และมาตรการทางการตลาด ควบคู่กับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและแบบแผนการบริโภคของสังคมให้มุ่งสู่ความยั่งยืน เพื่อนำไปสู่ “สังคมเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ” โดยกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาเพื่อตอบสนองและรองรับการดำเนินงานเรื่องนี้ ทั้งในด้านยุทธศาสตร์การพัฒนาคนและยุทธศาสตร์การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดยมีมาตรการเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องนี้หลายประการ เช่น การจัดทำระบบ National Registry System สำหรับการจัดตั้งตลาดคาร์บอนต่อไปในอนาคต กำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไขและวิธีการจัดเก็บภาษีสิ่งแวดล้อม เป็นต้น


   ทิศทางของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 ในทิศทางการพัฒนาไปสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ นับเป็นการส่งสัญญาณต่อการปรับทิศทางการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะหน่วยงานหลักเกี่ยวข้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอย่าง กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนสู่อุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) ที่มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ตลอดทั้งทั้งภายในและภายนอกตลอดห่วงโซ่อุปทาน
 โดยแนวคิดอุตสาหกรรมสีเขียวเป็นการจัดการภาคอุตสาหกรรมที่ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ การหมุนเวียนของเสียกลับมาใช้ใหม่ (Waste Recovery) การป้องกันปัญหามลพิษโดยใช้เทคโนโลยีสะอาด (Clean Technology) รวมทั้งการผลิตสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Eco Product) โดยมีการแลกเปลี่ยนของเสียที่จะเป็นวัตถุดิบให้กับโรงงานอื่น (Industrial Symbiosis) โดยเน้นของเหลือใช้และของเสียกลับมาใช้ใหม่ตามหลักการ 3R's ได้แก่ Reuse Reduce Recycle


   ดร.วิฑูรย์ สิมะโชคดี ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวถึงความเป็นมาโครงการอุตสาหกรรมสีเขียวว่าประเทศไทยมุ่งสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development) ตามที่ได้ให้สัตยาบันรับรองปฏิญญาโจฮันเนสเบิร์ก เมื่อปี  2545 และปฏิญญามะนิลาว่าด้วยอุตสาหกรรมสีเขียว เมื่อปี 2552  กระทรวงอุตสาหกรรมกำหนดยุทธศาตร์พัฒนาอุตสาหกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมและสังคม โดยดำเนินการเชิงรุกมุ่งเน้นการส่งเสริมและพัฒนาภาคอุตสาหกรรมให้เติบโตอย่างยั่งยืน
 จึงได้เริ่มโครงการอุตสาหกรรมสีเขียว เพื่อส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมให้ดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสังคม โดยมุ่งให้ภาคอุตสาหกรรมมีภาพลักษณ์ที่ดี น่าเชื่อถือ และประชาชนไว้วางใจ และสร้างเศรษฐกิจสีเขียว ทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมสีเขียวของประเทศ (Green GDP) มีมูลค่าสูงขึ้นด้วย ทั้งนี้การพัฒนาอย่างต่อเนื่องสู่ความเป็นอุตสาหกรรมสีเขียว 5 ระดับ คือ

     ระดับที่ 1 ความมุ่งมั่นสีเขียว (Green Commitment) คือ ความมุ่งมั่นที่จะลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและมีการสื่อสารภายในองค์กรให้ทราบโดยทั่วกัน
     ระดับที่ 2 ปฏิบัติการสีเขียว (Green Activity) คือ การดำเนินกิจกรรมเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้สำเร็จตามความมุ่งมั่นที่ตั้งไว้
     ระดับที่ 3 ระบบสีเขียว (Green System) คือ การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบมีการติดตามประเมินผลและทบทวนเพื่อการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการได้รับรางวัลด้านสิ่งแวดล้อมที่เป็นที่ยอมรับและการรับรองมาตรฐานสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ
     ระดับที่ 4 วัฒนธรรมสีเขียว (Green Culture) คือ การที่ทุกคนในองค์กรให้ความร่วมมือร่วมใจดำเนินงานอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในทุกด้านของการประกอบกิจการจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมองค์กร
     ระดับที่ 5 เครือข่ายสีเขียว (Green Network) แสดงถึงการขยายเครือข่ายตลอดห่วงโซ่อุปทานสีเขียว โดยสนับสนุนให้คู่ค้าและพันธมิตรเข้าสู่กระบวนการรับรองอุตสาหกรรมสีเขียวด้วย

ที่มา: http://green.industry.go.th


     การดำเนินการที่ผ่านมา กระทรวงอุตสาหกรรมแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาและดำเนินโครงการอุตสาหกรรมสีเขียวและคณะอนุกรรมการ 3 คณะ ได้แก่ คณะอนุกรรมการให้การรับรองอุตสาหกรรมสีเขียว คณะอนุกรรมการกำหนดหลักเกณฑ์สิทธิประโยชน์ และคณะอนุกรรมการประชาสัมพันธ์อุตสาหกรรมสีเขียว ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวถึงแนวทางดำเนินการ โดยกำหนดนโยบายให้หน่วยงานราชการเกี่ยวข้องนำเสนอแนวทางกำหนดหลักเกณฑ์หรือสิทธิประโยชน์ให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรม
 รวมถึงเผยแพร่ให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่ในภูมิภาคเพื่อสร้างความเข้าใจและสามารถถ่ายทอดความรู้สู่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมในพื้นที่ให้เข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญของการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน ภายใต้กรอบแนวคิดการพัฒนาและดำเนินโครงการอุตสาหกรรมสีเขียวของกระทรวงอุตสาหกรรมที่เป็นโครงการในเชิงรุก ด้าน นายวิกรม กรมดิษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมตะคอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวถึงแนวทางบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะเพื่อให้เป็นเมือง สมาร์ทซิตี้ โดยให้ทุกคนทำงานร่วมกับอุตสาหกรรมได้ เป็นเมืองประหยัดพลังงาน และจัดสรรให้มีพื้นที่สีเขียว
รวมทั้งทำเขตกันชนระหว่างอุตสาหกรรมกับชุมชน โดยใช้พื้นที่ดังกล่าวสำหรับติดตั้งกังหันลม นำมาผลิตเป็นพลังงานไฟฟ้า หลังคาโรงงานที่หันไปทางทิศเหนือและทิศใต้ ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ โดยนิคมสามารถผลิตไฟฟ้าจากขยะและระบบลมร้อนจากแอร์ ได้ 400 เมกะวัตต์ รวมทั้งมุ่งการวิจัยและพัฒนาเพื่อแปรรูปพลังงานของเสียให้นำกลับมาใช้ได้ใหม่


   เนื่องจากกระบวนการผลิตของภาคอุตสาหกรรม คือ สาเหตุหลักที่สร้างมลพิษ โดยเฉพาะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน ทำให้ผู้ประกอบการที่มีจิตสำนึกรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตเพื่อลดปัญหามลพิษ โดยใช้เทคโนโลยีและระบบบริหารจัดการ รวมทั้งการสร้างเครือข่ายสีเขียว เพื่อร่วมพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างสมดุลยั่งยืน รวมทั้งให้ความสำคัญกับการพัฒนาสถานประกอบการสู่โรงงานสีเขียว (Green Factory) ที่มีการดำเนินการแสวงหาผลกำไรที่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด
 โดยมุ่งการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องทางด้านผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิตเพื่อเพิ่มความสามารถการแข่งขันให้องค์กร โดยคำนึงถึงการเลือกใช้วัตถุดิบและเทคโนโลยีที่เหมาะสมในการกำจัดความสูญเปล่าต่าง ๆ อาทิ การใช้วัตถุดิบสิ้นเปลืองไม่คุ้มค่า การใช้พลังงานไม่มีประสิทธิภาพ เกิดขยะของเสียในสายการผลิตจำนวนมากและสถานที่ทำงานไม่ปลอดภัย องค์กรชั้นนำภาคการผลิตได้ปรับปรุงผลิตภาพด้วยการวิเคราะห์ปัจจัยหลัก ดังนี้

 กระบวนการผลิต (Manufacturing Process) ประกอบด้วย เครื่องจักรและระบบสนับสนุนการแปรรูปทรัพยากรการผลิต เช่น เครื่องกลึง อุปกรณ์จับยึด เครื่องมือทดสอบ เป็นต้น
 ระบบการผลิต (Manufacturing System) เป็นการบูรณาการขั้นตอนการผลิตกับทรัพยากรแรงงานเพื่อเชื่อมโยงการทำงานและระบบขนถ่ายเพื่อเคลื่อนย้ายทรัพยากรระหว่างสายการผลิต
 การเพิ่มคุณค่า (Value Added) คือ กิจกรรมที่สร้างคุณค่าให้กับผลิตผลจากกระบวนการที่สามารถตอบสนองความต้องการและสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า
 กิจกรรมที่ไม่สร้างคุณค่าเพิ่ม (Non-Value Added) เป็นกิจกรรมเกี่ยวเนื่องกับการผลิต แต่กิจกรรมเหล่านี้ไม่สร้างคุณค่าหรือตอบสนองความต้องการต่อลูกค้า ซึ่งต้องดำเนินการขจัดออกจากระบบ  


   โดยความสูญเปล่าที่เกิดในภาคอุตสาหกรรมมักแฝงในรูปของเสียหรือกิจกรรมที่ไม่สร้างคุณค่าเพิ่มและการใช้ทรัพยากรไม่มีประสิทธิภาพ ดังนั้นการควบคุมความสูญเปล่าควรวิเคราะห์ที่มุ่งเพิ่มคุณค่าด้วยการปรับปรุงกระบวนการ ความสูญเปล่าอาจแสดงด้วยความสิ้นเปลือง (Wastage) จำแนกได้เป็น 

     1. ความสิ้นเปลืองโดยธรรมชาติ ประกอบด้วย ความสูญเปล่าที่หลีกเลี่ยงได้และหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตัวอย่างความสูญเปล่าที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เช่น ฝุ่นขี้เลื่อย เศษโลหะที่เกิดจากการกลึง การหดตัวของวัตถุดิบในกระบวนการแปรรูป เป็นต้น

     2. ความสิ้นเปลืองทางทรัพยากร ประกอบด้วย ความสิ้นเปลืองแรงงาน วัตถุดิบ เครื่องจักร และการจัดการวัสดุ (Material Management) เป็นสาเหตุก่อให้เกิด
 ความล้าสมัย (Obsolete) โดยเฉพาะวัตถุดิบและเครื่องจักรที่ไม่มีความเสียหาย แต่ไม่ได้ถูกใช้เป็นระยะเวลาหนึ่งและเกิดการเสื่อมมูลค่า เนื่องจากการปรับเปลี่ยนสายการผลิต และการนำระบบอัตโนมัติมาใช้งาน
 สิ่งที่เหลือใช้ (Surplus) โดยทรัพยากรหรือสินทรัพย์ต่าง ๆ ไม่ได้ถูกใช้งานทันทีหลังจากที่ได้รับการส่งมอบ แต่ถูกจัดเก็บสะสมไว้ซึ่งอาจส่งผลต่อระดับสต็อกที่เกิดจากการวางแผนหรือการพยากรณ์ที่ผิดพลาด
 เศษของเสีย (Scrap) เป็นความสูญเปล่าจากกระบวนการแปรรูป อาทิ การกลึง การกว้าน

     3. ความสิ้นเปลืองที่เกิดจากสาเหตุความผิดพลาดในการวางแผน อาทิ ความสิ้นเปลืองจากการออกแบบ ความบกพร่องของฝ่ายจัดซื้อ การจัดเก็บและการแปรรูป
แนวคิดการบริหารทรัพยากร


     สำหรับผู้ประกอบการที่มุ่งแนวคิดลีน (Lean Manufacture) พิจารณาแนวทางมุ่งสู่ความเป็นโรงงานสีเขียวที่สามารถดำเนินกิจกรรมพื้นฐาน อาทิ ลดการใช้ทรัพยากรที่ไม่สามารถนำกลับมาใช้ได้ใหม่ ขจัดความสิ้นเปลืองการใช้ปัจจัยการผลิต (พลังงาน วัตถุดิบ และแรงงาน) ปรับปรุงกระบวนการทำงานให้มีความเรียบง่ายไม่ซับซ้อนและสร้างความสัมพันธ์กับแหล่งชุมชนโดยรอบ ส่วนการปรับปรุงผลิตภาพโรงงานจะมุ่งเน้นการขจัดความสูญเปล่าทั้ง 7 ประการ ประกอบด้วย

   1.การลดความสูญเปล่าจากการผลิตเกินความจำเป็น โดยมุ่งผลิตตามคำสั่งซื้อและปรับเวลากระบวนการให้สอดคล้องกับปริมาณการผลิต

   2. การลดความสูญเปล่าจากการรอคอย สามารถดำเนินการ ดังนี้
 ปรับการไหลของงานให้สอดคล้องกับกระบวนการเพื่อลดปัญหาการรอคอย
 จัดสรรภาระแรงงานและเครื่องจักรให้เกิดสมดุลสายการผลิต (Line Balancing)
 ดำเนินกิจกรรมบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (Preventive Maintenance) เพื่อลดปัญหาเครื่องจักรขัดข้อง ซึ่งเป็นสาเหตุการรอคอย

   3. การลดความสูญเปล่าจากการขนส่ง
 ปรับปรุงการวางผังโรงงาน โดยมุ่งความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายงานที่เกี่ยวข้องให้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน เช่น การจัดสายการประกอบสุดท้ายให้อยู่ใกล้สโตร์เพื่อลดระยะทางขนส่ง
 ระบุแนวทางปรับปรุงเพื่อลดปริมาณการขนถ่าย โดยเฉพาะการจัดหาอุปกรณ์ขนถ่ายที่มีความยืดหยุ่น
 การดำเนินกิจกรรม 5ส

  4. การลดความสูญเปล่าจากกระบวนการที่ไม่สร้างคุณค่าเพิ่ม
 วิเคราะห์ขั้นตอนการทำงานโดยรวมด้วยการใช้ผังการไหลกระบวนการ (Flow  Process Chart) เพื่อพิจารณาว่ากิจกรรมใดมีความจำเป็นและเกิดคุณค่าเพิ่ม
 ระบุแนวทางขจัดความสูญเปล่าด้วยหลักการวิศวกรรมอุตสาหการเพื่อปรับลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็นออก
 ใช้หลักการวิศวกรรมคุณค่า (Value Engineering) โดยเฉพาะช่วงการออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อลดความซับซ้อนขององค์ประกอบชิ้นส่วน

  5. การลดความสูญเปล่าจากการเก็บสินค้าคงคลัง
 ปรับการไหลของงานให้เกิดความต่อเนื่องเพื่อลดการสะสมของงานระหว่างผลิต
 ลดปริมาณการจัดซื้อคราวละมาก ๆ โดยจัดทำแผนจัดซื้อให้สอดคล้องกับกำหนดการผลิตและสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับคู่ค้า 
 สร้างระบบการผลิตแบบทันเวลาพอดี (Just  In Time)

  6. การลดความสูญเปล่าจากการเคลื่อนไหว
 ศึกษาหลักการเคลื่อนไหวอย่างประหยัด (Motion Economy) และหลักการเออร์โกโนมิกเพื่อให้การทำงานเกิดผลิตภาพและลดความเมื่อยล้าในการทำงาน
 ปรับปรุงการเคลื่อนไหว โดยใช้กลไกและระบบสนับสนุน
 ปรับลำดับขั้นตอนการทำงานเพื่อให้เป็นมาตรฐาน

  7. ลดความสูญเปล่าจากการผลิตของเสีย
 พัฒนาวิธีการทำงาน เพื่อป้องกันการเกิดของเสียซ้ำ
 สร้างระบบการประกันคุณภาพให้ทุกกระบวนการที่เกี่ยวข้องเพื่อไม่ให้เกิดการส่งต่อของเสียกับกระบวนการถัดไป
 ลดความซับซ้อนของกระบวนการ โดยพัฒนาเทคนิคช่วงการออกแบบ


ประเภทความสูญเปล่า

   เนื่องจากความเป็นโรงงานสีเขียว คือความมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อชุมชนและสังคม ดังนั้นผู้บริหารโรงงานจะต้องมีความมุ่งมั่นต่อความสำเร็จในกิจกรรมพื้นฐานที่เป็นรากฐานการพัฒนาปรับปรุงอย่างต่อเนื่องที่จะลดการปลดปล่อยมลพิษสู่อากาศและน้ำ ที่ไม่เพียงแค่มุ่งประเด็น 3R คือ Reduce (ลดการใช้วัตถุดิบที่ไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่) Reuse (การนำกลับมาใช้ใหม่) Recycle (การนำกลับมาใช้ใหม่โดยผ่านกระบวนการแปรรูป) ที่เป็นส่วนหนึ่งของเทคโนโลยีสะอาดและผลิตภาพสีเขียว (Green Productivity) แต่ครอบคลุมถึงประเด็นร่องรอยคาร์บอน (Carbon Footprint)
ดังนั้นการพัฒนาสู่โรงงานสีเขียวอาจเกิดขึ้นได้ยาก หากภาครัฐไม่เห็นความสำคัญและกำหนดเป็นแผนพัฒนาที่ให้การสนับสนุนต่อเนื่อง รวมทั้งทุกภาคส่วนให้ความร่วมมือในการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมุ่งมั่นปรับปรุงกระบวนการเพื่อลดการปลดปล่อยมลพิษจากต้นทาง (Source Reduction) ไม่ใช่เพียงแค่การบำบัดที่ปลายทาง (End of Pipe Treatment) ซึ่งมีต้นทุนสูง

     ดังกรณี บริษัท คิมเบอร์ลี่ย์-คล๊าค (Kimberly-Clark) ที่มีจิตสำนึกในการปกป้อง ดูแล และรักษาสิ่งแวดล้อมให้คงอยู่ยั่งยืน เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งพนักงาน ลูกค้า และชุมชนใกล้เคียง โดยบริษัทให้ความสำคัญในการดำเนินโครงการสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ โครงการR3: Reduce, Recycle, Replant ประกอบด้วยหลักการรักษาสภาพแวดล้อม ดังนี้

 Reduce: การลดต้นเหตุของขยะ โดยออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้สินค้าใช้ได้นานขึ้นและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
 Recycle: การนำเยื่อกระดาษรีไซเคิลมาผสมกับเยื่อบริสุทธิ์ชั้นดีเพื่อผลิตสินค้าบางประเภทให้มีการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าที่สุด
 Replant: โครงการปลูกป่าทดแทนเพื่อฟื้นฟูและดูแลทรัพยากรธรรมชาติ โดยปลูกจิตสำนึกพนักงานและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรอย่างมีคุณค่า

    โดยคิมเบอร์ลี่ย์-คล๊าค มีนโยบายไม่ใช้เยื่อกระดาษจากป่าไม้เขตร้อน และมาตรการเลือกซื้อเยื่อกระดาษจากผู้จำหน่ายที่ปฏิบัติตามข้อบังคับด้านสิ่งแวดล้อมที่ผ่านการรับรองการประกอบ อุตสาหกรรมป่าไม้ และเยื่อกระดาษจากสถาบันดูแลรักษาป่าเท่านั้น บริษัทมีมาตรการงดใช้สารเคมีที่อาจก่อให้เกิดมลพิษต่อผู้บริโภคในกระบวนการผลิต เช่น นโยบายไม่ใช้สารคลอรีนและเยื่อกระดาษที่ผ่านการฟอกย้อมในกระบวนการผลิตกระดาษ
เนื่องจากการใช้สารคลอรีนในกระบวนการผลิตจะก่อให้เกิดสารไดอ๊อกซิน ซึ่งเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตในน้ำ แต่ละปีบริษัทมีเป้าหมายลดพลังงานที่ชัดเจนและความมุ่งมั่นพัฒนาโรงบำบัดน้ำเสียจนได้รับการยอมรับให้เป็นหนึ่งในระบบบำบัดน้ำเสีย ตัวอย่างที่ถูกใช้เป็นต้นแบบแก่บริษัทอื่นทั่วประเทศ นอกจากนี้บริษัทคำนึงถึงสภาพชุมชนรอบข้าง โดยดำเนินธุรกิจอย่างเคร่งครัดภายใต้ข้อกำหนดภาครัฐและมุ่งใช้ทรัพยากรธรรมชาติแบบยั่งยืน รวมถึงประหยัดพลังงาน 

   สำหรับผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าค่ายญี่ปุ่นอย่างโตชิบา ได้ประกาศพันธสัญญาที่เป็นคำมั่นจาก โนริโอะ ซาซากิ (Norio Sasaki) ผู้บริหารระดับสูงคือ “ความมุ่งมั่นที่ทำให้โตชิบาสามารถก้าวสู่ความเป็น Eco Company แห่งแรกก่อนใคร” สะท้อนให้เห็นว่าการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมของโตชิบามิได้จำกัดเพียงแค่ การดำเนินกิจกรรม CSR เท่านั้น แต่ยังมุ่งประเด็นในสามมิติหลักคือ กระบวนการสีเขียว (Greening of Process), ผลิตภัณฑ์สีเขียว (Greening of Products) และ เทคโนโลยีสีเขียว (Greening by Technology) ดังนั้นโตชิบามิได้วางกรอบยุทธศาสตร์สีเขียวที่มุ่งแคมเปญทางการตลาด (Marketing Campaign) เท่านั้น แต่ให้ความใส่ใจสิ่งแวดล้อมตั้งแต่กระบวนการผลิตระดับต้นน้ำจนถึงปลายน้ำที่เน้นการรีไซเคิล

   โตชิบา เริ่มหันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ปี 2534 กระทั่งปี 2550 โตชิบาประกาศใช้แนวคิด นวัตกรรมสีเขียว เพื่อโลกสีขาว (Green Innovation for White World) เป็นทั้งนโยบายองค์กร (Corporate Policy) และนโยบายการตลาด(Marketing Strategy) เพื่อสร้างความแตกต่างระหว่างโตชิบากับเครื่องใช้ไฟฟ้าตราสินค้าอื่น
กอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ กล่าวถึงแนวคิด Green Innovation หมายถึง การผลิตและจำหน่ายสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งประหยัดพลังงาน ตั้งแต่กระบวนการผลิตสินค้าที่ปรับปรุงให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและตั้งโรงงานรีไซเคิลหลอดไฟ โดยลดการใช้วัสดุที่เป็นพิษกับสิ่งแวดล้อม เช่น สารตะกั่ว สารปรอท สารแคดเมียม สารโครเมียม ตามมาตรฐาน RoHS (Restriction of Hazardous Substances) รวมถึงลดจำนวนนอต สกรู และออกแบบให้ประหยัดพลังงาน เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด ส่วนการผลิตสินค้าใหม่จะพิจารณาประเด็น Innovation, Eco Design, Eco Factory ว่าอยู่ระดับใด หากว่าสูงกว่าสินค้าตัวเก่าที่เคยผลิต ก็จะไม่ได้รับการผลิต

โตชิบามุ่งขับเคลื่อนนโยบายสิ่งแวดล้อม 5 Green ประกอบด้วย
 Green Company โดยมุ่งบริหารจัดการผลิตและสร้างจิตสำนึกในองค์กรให้ก้าวสู่การประหยัดพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อม
 Green Service บริการเพื่อแก้ปัญหาและสร้างความพอใจแก่ผู้บริโภค โดยเน้นความปลอดภัยและการรักษาสิ่งแวดล้อม 
 Green Products คือ สินค้าต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมทุกขั้นตอน ตั้งแต่การออกแบบ จัดหาวัตถุดิบ การผลิต การบรรจุหีบห่อ การขนส่ง รวมทั้งการรีไซเคิล ส่วนที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ต้องมีการทำลายอย่างถูกวิธีเพื่อไม่ก่อมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม
 Green Purchasing เป็นการเลือกซื้อสินค้าหรือวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจาก Green Company
 Green Society  คือ ความมีส่วนร่วมกับภาคสังคมทั้งประชาชนและร้านค้าเพื่อร่วมรณรงค์รักษาสิ่งแวดล้อม เช่น การปลูกป่าชายเลน ป่าปะการัง เป็นต้น

    ช่วงปลายปี 2552 โตชิบา ไทยแลนด์ วางแผนที่จะเพิ่มตัวแทนจำหน่ายสีเขียว (Green Dealer) มากขึ้น เพื่อส่งเสริมให้ตัวแทนจำหน่ายใส่ใจการทำตลาดสีเขียว (Green Marketing) ก่อนช่วงเวลาดังกล่าว โตชิบาร่วมกับต้วแทนจำหน่ายเพื่อรณรงค์ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคให้ซื้อสินค้าที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม พร้อมสร้างโลโก้ ทีจัง (T-Chan) เป็นสัญลักษณ์ Green Innovation ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้สินค้าอย่างถูกวิธีเพื่อยืดอายุการใช้งานและประหยัดพลังงานไฟฟ้า หาก Toshiba Group สามารถเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้บริโภคทั้งสามมิติด้วย เทคโนโลยี, กระบวนการผลิต และสินค้าที่เน้นตอบสนองกลุ่มลูกค้าที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ย่อมส่งผลต่อภาพลักษณ์องค์กรทั่วโลก

    โดยสัญลักษณ์ Toshiba Eco Style ถือเป็นส่วนหนึ่งของแนวคิดสีเขียว (Green Concept) ทำให้แคมเปญ นวัตกรรมสีเขียวเพื่อโลกสีขาว ตอบโจทย์ 'โตชิบา นำสิ่งที่ดีสู่ชีวิต' เป็นการสร้างมูลค่าให้กับตราสินค้าในเชิงการตลาดเพื่อสังคม ที่มุ่งสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจมากกว่าเพียงแค่สนองความต้องการของลูกค้า ตามรายงานนิตยสาร Entrepreneur เคยระบุถึงแนวโน้มธุรกิจสีเขียวจะกลายเป็นแนวโน้มหลักของธุรกิจยุคใหม่ ทำให้นวัตกรรมสีเขียวไม่เพียงแค่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคที่ตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมแล้ว แต่ช่วยให้ขยายฐานลูกค้าองค์กรที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม (Green Corporation)
         

     ทางด้านผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟฟ้าค่ายญี่ปุ่นอีกราย คือ บริษัท พานาโซนิคอีโคเทคโนโลยี เซ็นเตอร์ (Panasonic Eco Technology Center) หรือ PETEC ตั้งอยู่ที่จังหวัดเฮียวโก (Hyogo) ประเทศญี่ปุ่น กลายเป็นศูนย์กลางรีไซเคิล ครบวงจร ภายใต้แนวคิด "ผลิตภัณฑ์เพื่อผลิตภัณฑ์" คือ การนำขยะกลับมาใช้ใหม่ให้มากที่สุด PETEC มีแผนกวิจัยกลุ่มสินค้าต่าง ๆ เพื่อหาแนวทางรีไซเคิลให้เหมาะสม การตื่นตัวปัญหาภาวะโลกร้อนและการบังคับใช้กฎหมายสิ่งแวดล้อมของญี่ปุ่นที่เข้มงวดขึ้น ทำให้ PETEC นำร่องโครงการรีไซเคิลสินค้า 4 กลุ่ม คือ โทรทัศน์ เครื่องซักผ้า เครื่องปรับอากาศ และตู้เย็น

    โดยวางเป้าหมาย “Green Product-Green Factory” ใช้วัสดุที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมและไม่ปล่อยของเสีย พานาโซนิคคอร์ปตั้งเป้าลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลก 1 แสนตันในปี 2551 และเพิ่มเป็น 3 แสนตัน ในปี 2553 ส่วนโรงงานที่เมืองชิกะ ประเทศญี่ปุ่นเป็นฐานการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทเครื่องปรับอากาศ (Air Conditioner Factory) ที่นำหลัก ECO Ideas เพื่อให้พานาโซนิคก้าวสู่ความเป็นโรงงานเพื่อสิ่งแวดล้อม (Environmental Company) เป็นนโยบายหลักของพานาโซนิค โดยมีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่บรรยากาศ

    ทาง พานาโซนิค ตั้งแผนภายใน "GP3" เป็นนโยบายของบริษัทแม่ที่วางกฎเกณฑ์ทำงานทั้งในส่วนโรงงานผลิตและฝ่ายการขายของพานาโซนิคทั่วโลก โดยแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ การให้พานาโซนิคเป็นองค์กรสากล (Global Progress) กลยุทธ์ด้านกำไร (Global Profit) และขยายตลาดสู่ภายนอกประเทศญี่ปุ่น (Global Panasonic) นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้มีการผลิตสินค้าเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น ฮีทปั้ม (Heat Pump) ช่วยลดความร้อนจากเครื่องใช้ไฟฟ้าให้น้อยที่สุด เทคโนโลยีนี้ได้ถูกใช้ในแอร์ ตู้เย็นและเครื่องอบผ้า ทำให้ลดการใช้ไฟฟ้า ทางพานาโซนิคคิดค้นแผ่นฉนวนที่สามารถลดความร้อนได้ 10 เท่าเพื่อใช้ในตู้เย็น เครื่องต้มน้ำร้อน กระติกน้ำร้อน สะท้อนถึงโรงงานแห่งนี้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ที่ไม่เพียงแค่การสื่อกับตลาดและลูกค้าภายนอกให้ได้รับรู้ แต่พานาโซนิคมุ่งปลูกฝังและสร้างความรู้สึกถึงความเป็นโรงงานเพื่อสิ่งแวดล้อมให้กับสังคม

    ดังนั้น Eco Ideas คือ แนวคิดการตลาดของพานาโซนิค ที่อยู่บนหลักการ 3 ประการ คือ การประหยัดพลังงาน วัตถุดิบในการผลิตต้องไม่มีสารพิษต้องห้าม 6 ชนิดตามมาตรฐาน RoHS ได้แก่ ปรอท, ตะกั่ว, แคดเมียม, โครเมียม, โพลีโบรมิเนต ไบฟีนิล และโพลีโบรมิเนต ไดอีเทอร์ หากผู้ผลิตรายใดไม่สามารถปฏิบัติตามมาตรฐาน RoHS จะไม่สามารถส่งสินค้าเข้าไปจำหน่ายในยุโรปได้ และโรงงานทุกแห่งของพานาโซนิคจะต้องได้รับการรับรองมาตรฐานสิ่งแวดล้อม ISO 14001

   แนวคิดการรักษาสิ่งแวดล้อมของพานาโซนิคแบ่งเป็น 3 หัวข้อ คือ Eco ideas for Product, Eco Ideas for Manufacturing และ Eco Ideas for Everybody Everywhere ล่าสุด พานาโซนิคประกาศปฏิญญารักษาสิ่งแวดล้อม Eco Ideas Declaration กับประเทศในเอเชียแปซิฟิก รวมทั้งจัดกิจกรรม Panasonic Eco Ideas Experience Road Show เพื่ออธิบายให้ผู้บริโภคเข้าใจถึงแนวคิดการตลาดสีเขียวของพานาโซนิค เนื่องจากผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสนใจการประหยัดพลังงาน ทำให้การจัดกิจกรรมดังกล่าวช่วยให้ผู้บริโภครู้จักตราสินค้าที่ช่วยประหยัดพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อม

   ฮิโรทากะ มุราคามิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทพานาโซนิค ประเทศไทย กล่าวว่า 'เราต้องการให้ผู้บริโภครับรู้ว่าพานาโซนิค คือ Eco หรือธุรกิจที่รักษาสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจ' นอกจากนี้พานาโซนิคยังใช้ Eco Ideas สื่อสารถึงผู้บริโภครุ่นใหม่ที่จะเป็นลูกค้าอนาคต โดยเฉพาะการปลูกฝังประเด็นทางสิ่งแวดล้อม เป็นปัจจัยหลักในการพิจารณาเลือกซื้อสินค้าต่าง ๆ ที่สามารถตอบโจทย์เรื่องพลังงานและสิ่งแวดล้อม นั่นคือ Save Earth Save Energy และ Save Money ให้ผู้บริโภค
แนวคิดออกแบบเพื่อสิ่งแวดล้อม
          
    สำหรับ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ให้ความสำคัญกับการทำกิจกรรมส่งเสริมสังคม โดยเน้นความมีส่วนร่วมตั้งแต่พนักงานภายในองค์กร เครือข่ายธุรกิจและบริษัทในเครือ พร้อมส่งเสริมความมีส่วนร่วมของลูกค้า ชุมชนและสังคมเพื่อร่วมผลักดันสังคมให้พัฒนาเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งนี้เป็นการเดินตามแนวทางวิสัยทัศน์ระดับโลก(Global Vision 2020)ของบริษัทแม่โตโยต้า โดยมีหลักการว่า "วัฏจักรธรรมชาติกับวัฏจักรอุตสาหกรรมจะสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืนและยั่งยืนตลอดไป" ดังนั้นแนวคิดโรงงานแห่งความยั่งยืนของโตโยต้าครอบคลุมกิจกรรมหลัก คือ การลดการใช้พลังงานและทรัพยากรธรรมชาติ การใช้พลังงานทดแทนและการฟื้นฟูป่า

    แนวคิดดังกล่าวทำให้ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ปรับปรุงกระบวนผลิตและระบบขนส่ง อาทิ ปรับปรุงการใช้พลังงานของเครื่องอัดอากาศ การลดจำนวนเที่ยวในการขนส่งโดยใช้รถขนส่งขนาดใหญ่ขึ้น การคัดเลือกแหล่งจัดหาชิ้นส่วนที่เหมาะสมเพื่อลดการขนส่งและการเปลี่ยนประเภทบรรจุภัณฑ์ ทำให้ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โตโยต้า ประเทศไทย
เริ่มทำกิจกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังตั้งแต่ปี 2549 ด้วยนโยบายบริษัทแม่ที่กำหนดให้สาขาแต่ละประเทศนำ Toyota Earth Charter จากโตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น สำนักงานใหญ่ มาใช้กำหนดนโยบายสิ่งแวดล้อมและเป้าหมายดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อมทั้งระยะสั้นและยาวของบริษัท
  วิสัยทัศน์ระดับโลกของโตโยต้า (Global Vision 2020)


    ช่วงเดือนมีนาคมปี 2550 โตโยต้าได้ก่อสร้างโรงงานใหม่ที่ อำเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยผลักดันให้โรงงานแห่งนี้ก้าวสู่โรงงานแห่งความยั่งยืน (Sustainable Plant) ภายใต้ปรัชญาความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Eco–Friendly) แสดงเจตนารมณ์ด้วยการผลิตรถยนต์ทุกรุ่นให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยนำเทคโนโลยีอนุรักษ์พลังงาน การจัดการมลภาวะ พันธกิจที่มีต่อโรงงานบ้านโพธิ์ คือ ส่งเสริมความแข็งแกร่งในด้านการบริหาร  ระบบการผลิต เพื่อเป็นโรงงานที่มีความสามารถแข่งขันระดับโลก อีกทั้งตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคมในชุมชนและสังคมไทย

    โรงงานโตโยต้า บ้านโพธิ์ ได้รับการยอมรับว่า เป็นโรงงานทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียและถูกคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 5 โรงงานต้นแบบของโตโยต้าทั่วโลก ภายใต้โครงการ “โรงงานแห่งความยั่งยืน” ที่ต้องลดการใช้พลังงาน การเปลี่ยนรูปพลังงานและให้ชุมชนมีส่วนร่วม โรงงานโตโยต้า บ้านโพธิ์ เป็นโรงงานต้นแบบเพื่อสิ่งแวดล้อม (Ecological Factory) ที่มีระบบบริหารจัดการที่ดีหลายด้าน อาทิ การอนุรักษ์พลังงานโดยติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าชนิดพลังงานความร้อนร่วม (Co-Generator) โดยใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้า รวมถึงการติดตั้งเซลล์พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cell) ที่อาคารสำนักงานเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าใช้ภายในที่ทำงาน สามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่บรรยากาศกว่า 8,500 ตันต่อปี

    การจัดการด้านมลภาวะทางอากาศด้วยการนำเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง โดยนำระบบการพ่นสีรถยนต์ที่ใช้น้ำเป็นตัวทำละลาย มีคุณภาพดีกว่าการใช้สีผสมทินเนอร์ การนำหุ่นยนต์มาใช้ในกระบวนการพ่นสี การติดตั้งเตาเผาอุณภูมิสูง(Regenerative Thermal Oxidizer Incinerator) เพื่อลดปริมาณสารระเหยไฮโดรคาร์บอน และมลภาวะอากาศ ที่ปล่อยออกสู่บรรยากาศ การจัดการขยะ ทำให้โตโยต้า สามารถนำขยะไปรีไซเคิลได้กว่า 80%  การจัดการมลภาวะทางน้ำ ที่มีกระบวนการบำบัดน้ำที่ใช้แล้วให้ได้คุณภาพ โดยมีดัชนีคุณภาพน้ำทิ้งเข้มงวดกว่าค่ามาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนดถึง 20%


แนวทางสู่โรงงานแห่งความยั่งยืนของโตโยต้า


     ช่วงต้นปี 2551 โตโยต้า เปิดตัว โครงการป่านิเวศในโรงงาน (Eco-Forest) ขึ้นในโรงงานโตโยต้า บ้านโพธิ์ เพื่อเน้นถึงวิสัยทัศน์ความเป็นองค์กรแบบ Eco–Friendly โดยช่วงต้น โครงการป่านิเวศในโรงงาน ได้ปลูกต้นไม้ในพื้นที่ 30 ไร่ ภายในบริเวณโรงงาน เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว สร้างระบบนิเวศให้สมบูรณ์และพนักงานมีโอกาสทำงานในสภาพแวดล้อมที่ดี รวมถึงชุมชนรอบข้าง

    กิจกรรมวันปลูกป่าเกิดขึ้น ด้วยความร่วมมืออาสาสมัคร 10,000 คน ประกอบด้วย คณะผู้บริหาร พนักงาน และครอบครัวโตโยต้า ผู้แทนจำหน่าย บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วน บริษัทในเครือ ตัวแทนหน่วยงานราชการ องค์กรเอกชน ชุมชนฉะเชิงเทรา และสื่อมวลชน ร่วมปลูกป่าจากกล้าไม้ท้องถิ่น 34 สายพันธุ์ จำนวน 100,000 ต้น ทำการปลูกป่าแบบยั่งยืนเพื่อสร้างผืนป่าที่ดำรงไว้ซึ่งสภาพตามธรรมชาติ การดำเนินโครงการป่านิเวศ ครอบคลุมพื้นที่กว่า 30 ไร่

    ช่วงแรกสามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 800 ตันต่อปี โดยมีตัวเลขค่าเฉลี่ยการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ของไม้ยืนต้นโตเต็มที่ 1 ต้น อยู่ที่ประมาณ 8 กิโลกรัมต่อปี เป็นแนวคิดที่ถูกนำไปประยุกต์ใช้กับโครงการปลูกป่าที่สำเร็จแล้วกว่า 1,500 แห่งทั่วโลก อาทิ โครงการปลูกป่ายั่งยืนที่เมืองโยโกฮาม่า โครงการฟื้นฟูป่าต้นโอ๊กบริเวณรอบกำแพงเมืองจีน ป่าฝนเขตร้อนในเมืองซาราวัก ประเทศมาเลเซีย ป่าอเมซอนประเทศบราซิล เป็นต้น

    นอกเหนือจากการดำเนินโครงการปลูกป่านิเวศในโรงงานบ้านโพธิ์ โตโยต้ายังขยายผลโครงการป่านิเวศสู่ชุมชนและเครือข่ายโตโยต้าทั่วประเทศ โดยร่วมกับตัวแทนจำหน่ายและผู้ผลิตชิ้นส่วนที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการ ช่วยกันปลูกป่านิเวศ พื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยวางเป้าหมายจะปลูกป่านิเวศให้ครบ 1 ล้านต้น ภายในปี 2555 การดำเนินการที่ผ่านมามีผู้แทนจำหน่าย และอาสาสมัครได้ร่วมกันปลูกป่านิเวศแล้วไม่ต่ำกว่า 270,000 ต้น
 ภายใต้ปรัชญาความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Eco-Friendly Product) ขณะเดียวกันโตโยต้าสนับสนุนให้เกิดการใช้พลังงานทางเลือกมากขึ้น ตลอดจนการค้นคว้าและวิจัยพัฒนาโครงการต่าง ๆ ร่วมกับการดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมที่มุ่งหวังให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ และสร้างการความตระหนักถึงปัญหาภาวะโลกร้อนให้แก่สังคม


โครงการปลูกป่านิเวศของโตโยต้า

บทความโดย : อาจารย์โกศล  ดีศีลธรรม