วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

สื่อสารอย่างไร ไม่เฟล (fail = ผิดพลาด)

วันนี้เรามาพูดกันเรื่อง การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ สื่อสารยังไง ไม่เฟล (ผิดพลาด) ผมเชื่อว่าทุกคน องค์กรและหน่วยงานคงเคยประสบปัญหา กันอย่างแน่นอน งั้นเรามาเริ่มเรียนรุ้กันก่อนว่า การสื่อสารที่ดี มีประสิทธิภาพนั้น มีองค์ประกอบสำคัญๆ 4 ส่วน อะไรบ้าง
1. ผู้ส่งสาร นับว่ามีความสำคัญอย่างมากเพราะเค้าจะเป็นผู้ที่ถ่ายทอด สิ่งที่รู้ให้ผู้อื่น ดังนั้นผู้ส่งสารจะต้องเข้าใจในสารหรือสิ่งที่จะสื่อสารออกไปเสียก่อน หากผู้ส่งไม่เข้าใจ แล้วจะให้ผู้รับสารเข้าใจได้อย่างไรจริงไหมครับ ดังนั้นก่อนที่จะส่งสารหรือสื่อสารกับใคร ต้องทำความเข้าใจเรื่องนั้นให้ดีในระดับหนึ่ง เพราะอาจมีคำถาม หรือข้อสงสัน เราจะได้ตอบได้อย่างชัดเจน เพราะเราเข้าใจในเนื้อหาของสิ่งที่ต้องการสื่อสารออกไป
2. สาร, สาระ หรือเนื้อหา มันเป็นสิ่งที่เราต้องการสื่อสารหรือถ่ายทอดออกไปให้คนอื่นรู้ หลายๆคนมันจะเอาเนื้อหาทั้งหมดที่ได้รับมา ส่งต่อหรือถ่ายทอดต่อในทันที โดยบางทีก็ไม่ได้พิจารณาดูในรายละเอียด โดยเนื้อหาที่ส่งออกไปหรือถ่ายทอดออกไป ควรมีความเหมาะสมกับผู้รับสารด้วย ดังนั้นผู้ส่งสารควรวิเคราะห์ผู้รับสารด้วยนะครับว่า เมื่อเขาได้รับสารหรือเนื้อหานั้นๆแล้ว เค้าจะเข้าใจไหม มากน้อยเพียงใด ในบางครั้งผู้ส่งสารอาจจะต้องสรุป หรือสื่อสารเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับผู้รับสาร เพื่อทำให้เนื้อหามีความกระชับ ไม่เยิ่นเย้อ เข้าใจง่ายเพราะถ้าคุณส่งเอกสารทั้งหมดให้ผู้รับสาร แล้วบอกว่าในนั้นมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับคุณ ให้อ่านหรือพิจารณาเอาเอง วิธีการแบบนี้ผมคิดว่า มีโอกาส เฟล สูงมาก (fail =  ผิดพลาด) เพิ่มเติมอีกหน่อยคือ ควรมีการเน้นในส่วนที่สำคัญ เพื่อจะได้ง่ายต่อการจดจำและทำความเข้าใจ อีกเรื่องนึงขอฝากไว้คือเรื่อง ภาษาที่ใช้ในการสื่อสาร เรื่องนี้ก็สำคัญนะครับ ครเลือกให้เหมาะกับกลุ่มผู้รับสารด้วยนะ สื่อสารเป็นภาษาอังกฤษกับพนักงานระดับปฏิบัติการ อาจจะเงิบได้นะครับ
3. ผู้รับสาร ต่อมาถ้าผู้ส่งสารดี เนื้อหากระชับเข้าใจง่าย ส่วนต่อไปที่ต้องพิจารณาคือผู้รับสาร ผู้รับสารก็มีส่วนสำคัญเช่นกัน หากมีใครสื่อสารกับเรา นั่นแสดงว่ามันต้องเป็นเรื่องที่สำคัญ เกี่ยวกับเราดังนั้นผู้รับสารควรใส่ใจ ตั้งใจในการรับสาร 
4. วิธีการส่งสารหรือช่องทางการสื่อสาร ก็มีความสำคัญ เราควรเลือกวิธีการสื่อสารให้เหมาะสมเช่นการสื่อสารผ่านทางอีเมลล์, intranet ภายในองค์กร หรือนัดประชุมชี้แจง อันนี้ก็แล้วแต่วิธีการที่จะเลือกใช้ให้เหมาะ   แต่ก็อย่าลืมว่าการสื่อสารแต่ละแบบมีข้อดี ข้อเสียต่างกัน เลือกใช้ให้ดีนะครับ
นอกจากเราจะรู้และเข้าใจในองค์ประกอบของการสื่อสารทั้ง 4 ส่วนแล้ว ผมขอฝากหัวใจของการสื่อสาร นั้นคือ การสื่อสารสองทาง (two way communications) ไว้ด้วยครับ สิ่งที่สำคัญนั่นคือ การที่ผู้ส่งข่าวสารและผู้รับข่าวสารมีความเข้าใจในเนื้อหาของข่าวสารตรงกัน มีการโต้ตอบหรือพูดคุยกัน หากผู้รับสารมีข้อคำถาม ข้อสงสัยก็ควรมีการสอบถามผู้ส่งสารให้เข้าใจ เพื่อจะได้ทำให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
จากที่ผมได้เล่ามานั้น สิ่งสำคัญคือ เมื่อรู้แล้วต้องนำไปใช้ ทดลองใช้จริง อาจต้องมีการปรับแก้ไขบ้าง แต่เชื่อแน่ว่าเมื่อทำสม่ำเสมอแล้ว มันจะช่วยให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพ ฟันธง  แล้วพบกันใหม่ ในครั้งหน้าครับ

เขียนโดย นายภาณุทัต  จิรานนท์
บริษัท ไอโปร เทรนนิ่ง จำกัด

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

สื่อสารแบบยีราฟ และหมาป่า

วันนี้ได้รับสาระดีๆจากเพื่อนในไลน์ เกี่ยวกับภาษาของการสื่อสารด้วยสันติ โดยเค้ามีการเปรียบเทียบสัตว์ 2 ชนิด คือ ยีราฟ และหมาป่า  ผมว่ามันน่าสนใจมากเลยครับเลยเอามาแชร์เพื่อนๆ ดังนี้
ยีราฟ เป็นสัตว์บกที่มีหัวใจโตที่สุด  เป็นสัตว์ที่คอยาว มองไกล ใจกว้าง ภาษาของยีราฟ คือ ภาษาที่เข้าใจความรู้สึกและความต้องการของตนเองและผู้อื่นพูดเข้าใจความรู้สึก ความต้องการ เข้าใจตัวเอง  เข้าใจผู้อื่นการสื่อสารอย่างสันติควรใช้ภาษายีราฟ มีการสังเกตความรู้สึก ความต้องการ ของผู้อื่น
หมาป่า เป็นสัตว์ที่มีลักษณะ ตัวเตี้ย  ติดดิน  ไม่มองไกล  มองใกล้ตัวเป็นสัญลักษณ์ของการสื่อสารที่กีดกันไม่ให้เราเข้าถึงความเมตตากรุญาภาษาของหมาป่า คือภาษาที่ตำหนิ  ต่อว่า  กล่าวโทษ  บ่นตัดสินเชิงคุณค่าหรือถูก/ผิด ตัดสินตำหนิตนเอง จะด่าผู้อื่น ตำหนิคนอื่น

ภาษาที่ยีราฟและหมาป่าใช้นั้น แตกต่างกันอย่างมาก ดังนั้นเราต้องลองมองตัวเองว่าในปัจจุบันเราเป็นแบบไหน หากปัจจุบันเราสื่อสารแบบหมาป่า มันจะทำให้บรรยากาศในการทำงานตึงเครียด ส่งผลให้ตัวเราเองเครียดไปด้วย ลองปรับตัวเองให้เป็นแบบยีราฟมันจะช่วยให้บรรยากาศในการทำงานดีขึ้น ได้ใจคนรอบข้าง  ลองทำดู...

ขอขอบคุณข้อความดีๆ จากคุณ Jeep Jaruwadee ที่ส่งมาทางไลน์นะครับ

ผมก็เคยเป็น "แม่"




“เด็กที่มีปัญหาเรื่องเพศ ใจแตก ส่วนมากจะมาจากครอบครัวแตกแยก ขาดความอบอุ่นเพราะพ่อแม่แยกกันอยู่”
     
       ประโยคนี้ดูจะยอดฮิตเกือบทุกครั้งของการสนทนาปัญหาวัยรุ่น ใครหนอช่างบัญญัติมาตรฐานนี้ จนเป็น “วาทกรรมที่ยิ่งใหญ่” ของสังคมไปแล้ว
     
       มันแปลว่าอะไรกันแน่น จริงหรือที่พ่อแม่ลูกอยู่ด้วยกันแล้ว หมายถึง อบอุ่น
     
       ก็ถ้าอยู่ด้วยกันแล้วทะเลาะเบาะแว้งกันทุกวี่วันล่ะ... 

ชูไชย นิจไตรรัตน์ จากองค์การแพธ ถ่ายทอดเรื่องราวของเขาจากชีวิตจริงผ่านสื่อสังวาส ปีที่ 2 ฉบับที่ 39 ไว้อย่างน่าสนใจ เขาเล่าว่า
     
       การที่ชีวิตคู่ของคนจะยุติลง มันคงมีเงื่อนไขความจำเป็นมากมาย ผมก็เป็นคนหนึ่งในจำนวนคนอีกหลายคู่ ที่จำเป็นต้องแยกกับแม่ของลูกสาว แล้วเอาลูกมาอยู่ด้วย
     
       จำได้ว่าครั้งหนึ่งตอนลูกเรียนประถม ลูกมาบอกว่า “วันแม่ครูให้พาแม่ไปที่โรงเรียนเพื่อนั่งรับมาลัยจากลูก แล้วฟังลูกร้องเพลงค่าน้ำนม หนูจะทำอย่างไรดีพ่อ”
     
       วันแม่ปีนั้น ผมไปนั่งรับมาลัยมะลิสดจากลูก ได้ฟังกลุ่มเด็กๆ ร้องเพลงค่าน้ำนม ได้เห็นน้ำตาของแม่และลูกหลายคน รวมทั้ง “แม่อย่างผม” ที่กอดลูกแน่น เพราะสงสารลูกจับใจ
     
       ก็ “แม่” ของเธอดูไม่เหมือนแม่ของคนอื่น
     
       ผมได้รับคำยกย่องชมเชยจากครูว่าทำดี ได้รับเสียงตบมือจากแม่ๆ คนอื่นเกรียวกราว หรือระคนไปกับความรู้สึกแปลกใจของผู้คนในวงนั้น ...ก็ไม่แน่ใจ
     
       กาลต่อมาลูกย่างเข้าสู่วัยรุ่น เธอถามผมว่า “ครูพูดเป็นประจำถึงข่าวปัญหาวัยรุ่นว่า ครอบครัวที่พ่อแม่แยกกันอยู่ ทำให้เด็กเป็นปัญหาสังคม มันจริงใช่มั่ยพ่อ”
     
       รวมถึงบางครั้งเวลาเราเครียดใส่กัน เธอก็มักจะตะโกนว่า “ก็หนูมันเป็นพวกเด็กมีปัญหานี่ ครูก็บอกทุกวัน คนอ่านข่าวที่พ่อชอบฟังเขาก็พูด”

        แม้ผมจะเลี้ยงลูกแบบไม่ได้ประคบประหงม แต่ผมให้ความรักความอบอุ่นแก่เขา อาจจะมากกว่าบางครอบครัวที่อยู่พร้อมพ่อแม่ลูกด้วยซ้ำ
     
       ผมเลี้ยงดูเธอในแบบที่ทำให้อยู่ในสังคมทุกวันนี้ได้อย่างที่เธอต้องการ ไม่ถูกเอาเปรียบ แล้วก็ไม่เอาเปรียบใคร และมีความสุขตามเงื่อนไขที่เลือก
     
       แม้อาจจะไม่ถูกใจเรา แต่นั้นก็คือ เธอเลือก
     
       ในสังคมเดียวกันนี้ น่าจะมีพ่ออย่างผม แม่ของลูก หรือยายหรือย่า จำนวนไม่น้อยเลยที่เลี้ยงดูลูกหลายฝ่ายเดียวอย่างรักใคร่ ให้ความอบอุ่น ทะนุถนอม เกื้อกูล และอาจจะมากกว่าที่ผมให้ลูกด้วยซ้ำไป
     
       เขาหรือเธอที่สดใสเยาว์วัยเหล่านั้น “ขาดความรักความอบอุ่น” หรือ “เพราะมีคนมากมายในสังคมบอกให้เขาเป็นแบบนั้นกรอกหูกันอยู่แบบนั้น ย้ำกันอยู่อย่างนั้น” ที่นี่ก็ได้ยิน ที่โรงเรียนก็ได้ยิน
     
       ได้ยินจนเชื่อว่าเป็นแบบนั้น
     
       เสียงเพลง “ค่าน้ำนม” จะก้องกังวานสร้างมนต์ขลังเรียกน้ำตาของแม่ลูกครั้งแล้วครั้งเล่า... ลูกที่ไม่ได้อยู่กับแม่ หรือแม่ที่ไม่ได้อย่กับลูกจะเป็นกี่เท่าของคนที่อยู่กันพร้อมหน้า
     
       ถ้าสังคมทุกวันนี้ ทุกคนอยู่พร้อมพ่อแม่ลูก ปัญหาวัยรุ่นจะหมดไป หรือไง???
     
       ถ้าไม่ใช่...หาประโยคใหม่สนทนากันเถอะ 

ขอบคุณแหล่งที่มา
ผู้เขียนบทความ : คุณชูไชย  นิจไตรรัตน์
เว็บไซต์ www.ipro-training.com

ประวัติ ความเป็นมาของเรา ( Our History)

►บริษัท ไอโปรเทรนนิ่ง ได้ก่อตั้งขึ้น เพื่อต่อยอดความสำเร็จของกลุ่มบริษัทไอเอส
โดยกลุ่มบริษัทไอเอส ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2542 จากกลุ่มคนผู้เชี่ยวชาญระดับที่ปรึกษา
โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับมาตรฐานหน่วยงานบำรุงรักษาของประเทศให้มีมาตรฐาน
เทียบเท่าสากล และมีเครื่องมือด้านเทคโนโลยีที่ทันสมัยและถูกต้องตามหลักมาตรฐาน
งานบำรุงรักษา

►บริษัท ไอโปรเทรนนิ่ง เล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาบุคลากรในสายอุตสาหกรรม
โดยบริษัทมีแนวความคิดว่า องค์กรจะพัฒนานอกจากระบบการจัดการที่ดี ยังต้องมีบุคลากร
ที่มีคุณภาพ โดยบุคลากร ถือเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าแก่องค์กรเป็นอย่างยิ่ง

►ด้วยทีมงานบุคลากรที่มีคุณภาพ มีความชำนาญเฉพาะด้าน มีประสบการณ์ในสายงาน
ซัพพลายเชนโดยตรง สิ่งเหล่านี้จะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจ อุตสาหกรรม
ในปัจจุบัน ได้เป็นอย่างดี