วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2559

5 วิธีที่จะทำให้คุณ “รวยเร็ว” แบบก้าวกระโดด


ไม่มีใครเป็นลูกจ้างกินเงินเดือนแล้วจะรวย ต่อให้เป็นลูกจ้างมืออาชีพ (อย่างเช่นผู้บริหารมืออาชีพ) ก็ต้องเสี่ยงและสู้กับ “เป้า” หรือ “ยอดขาย” ที่ถูกเพิ่มมาให้ทุกปี จนกว่าคุณจะทำไม่ไหวแล้วถูกเปลี่ยนตัว
ส่วนเรื่องการออกมาทำธุรกิจส่วนตัวนั้น ก็เป็นหนทางหนึ่ง แต่นั่นก็เป็นความรวยแบบ “ธรรมดา”
ที่ท่านกำลังจะได้อ่านต่อไปนี้ ผมกำลังหมายถึงวิธี “รวยเร็ว” แบบก้าวกระโดด ด้วยวิธีสุจริต ไม่ใช้โชค แต่น้อยคนจะทำได้ ไม่ว่าวันหนึ่งท่านจะเป็นคนกลุ่มน้อยนั้นหรือเปล่า แต่รู้ไว้ก็ดีกว่าไม่รู้เนาะ
นี่เป็นอีกบทความหนึ่งที่ผมเอาประสบการณ์จริงมาแชร์ และวิธีการเหล่านี้ทำให้ผมมีทุกวันนี้ ข้างล่างนี้ผมผ่านมาเกือบหมดแล้ว และท่านผู้อ่านลองพิจารณาดูว่าอันไหนท่านมีศักยภาพที่จะทำตาม บางครั้งคนเราต้องการแค่ไอเดีย นึกเองไม่เคยออก พอมีคนบอก ก็ร้องอ๋อ..แล้วทำตามอย่างก็รวยได้
แต่ผมจะบอกไว้ก่อนนะครับว่ามันไม่ง่าย อย่าลืมว่า..ผมกำลังจะบอกวิธี “รวยเร็ว” แต่ไม่ได้บอกวิธี “รวยง่าย” มันคนละประเด็นกัน ต้องแยกแยะนะครับ มาว่ากันเลย

1. สร้างบริษัทขึ้นมาแล้วขาย

แนวคิด: Begin with the end in mind (รู้ตั้งแต่เริ่มแล้วว่าจะจบยังไง) คือสิ่งสำคัญของเรื่องนี้ เรามีตัวอย่างให้เห็นมากมายที่นักธุรกิจก่อตั้งบริษัทขึ้นมา แล้วสร้าง Asset อะไรบางอย่าง (ไม่ว่าจะเป็นข้อได้เปรียบทางการค้า แนวคิด/ไอเดียแจ่มๆ ฐานลูกค้า สินค้าที่ขายดี ฯลฯ) ที่มีอนาคตดีมากๆ เสร็จแล้วก็หาหุ้นส่วนใหม่, นักลงทุน, Venture Capital หรือคู่ค้าที่สามารถเสริมกันได้ (Synergy) มาซื้อกิจการไป หรือมาซื้อหุ้นเพิ่มทุนในราคาที่ไม่ธรรมดา แทนที่เราจะต้องคอยรับเงินปันผลจากธุรกิจไปเรื่อยๆ เราก็ขายหุ้นเดิมหรือหุ้นเพิ่มทุนในราคาแพงพิเศษให้กับผู้ที่สนใจ (เรียกว่า ‘ราคาพรีเมี่ยม’ จะเพราะกว่าเนาะ) แล้วทำไมเขายอมซื้อที่ราคาแพงพิเศษเหรอ ไม่หรอก..มันไม่ได้แพงพิเศษหรอก มันมีอนาคตและคุ้มค่ากับการลงทุนต่างหากล่ะ
ตัวอย่างสมการ: เปิดบริษัทด้วยเงินลงทุน 1 ล้านบาท (ราคาพาร์หุ้นละ 1 บาทจำนวน 1 ล้านหุ้น) กิจการดีมาก มีกำไรปีละ 300,000 บาททุกปี และมีแนวโน้มจะกำไรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เสร็จแล้วหาผู้ลงทุน เสนอขายหุ้นเพิ่มทุนอีก 1 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 3 บาท เท่ากับคนซื้อ จ่ายเงินมา 3 ล้านบาท ได้หุ้นเพิ่มทุนไป 1 ล้านหุ้น (รวมแล้วบริษัทมี 2 ล้านหุ้น ผู้ซื้อคนใหม่ถือหุ้น 50% สัดส่วนของเราลดลงเหลือ 50%)
แต่เงิน 3 ล้านที่เขาจ่ายมา เอาเข้าบริษัท 1 ล้านบาท ที่เหลือ 2 ล้านบาทถือว่าเป็นพรีเมี่ยมให้ผู้ถือหุ้นเดิม (ท่านได้เงิน 2,000,000 แล้วนะ ไม่ต้องนั่งทำงานแบบเดิมแล้วรอรับปันผลไป 7 ปี แถมเงินลงทุน ณ วันแรกก็ถือว่าได้ทุนคืนแล้ว และยังได้ถือหุ้นในบริษัทต่อไปอีก 50%)
แล้วผู้ซื้อได้อะไร ก็พอปลายปีบริษัทมีกำไร 300,000 บาท เขาได้ส่วนแบ่งเงินปันผล 50% = 150,000 บาทจากเงินลงทุน 3,000,000 บาท เทียบเท่ากับ 5% ดีออก..ผลตอบแทนมากกว่าฝากแบงค์ตั้งเยอะแน่ะ
สำหรับท่านๆ ที่รวยล้นฟ้า ก็ใช้สูตรคล้ายๆ กัน เพียงแค่เติมเลขศูนย์ไปข้างหลังหลายตัวเท่านั้นเอง ตัวอย่างที่เห็นนี่คือราคา 3 เท่า สำหรับบริษัทที่อนาคตดีมากๆ ผมเคยเห็น 30 เท่ามาแล้วครับ
ตัวอย่างจริง: มีตัวอย่างบริษัทในต่างประเทศมากมาย พวก Start-up Company ที่มีไอเดียเจ๋ง พอสร้างสินค้า prototype ขึ้นมาได้แล้ว ดูดีมีอนาคต ก็ทำ projection กำไร แล้วเสนอขาย Venture Capital ให้มาเพิ่มทุนในราคาพรีเมี่ยม เอาเงินเข้ากระเป๋าส่วนหนึ่ง และเอาเงินไว้ในบริษัทอีกส่วนหนึ่งไว้สำหรับเป็นเงินลงทุนเพื่อขยายกิจการ
เดี๋ยวจะหาว่ามีแต่ตัวอย่างในต่างประเทศ ถ้าเป็นในประเทศก็ยกตัวอย่าง Ookbee, วงใน.com, tarad.com ก็แนวนี้ทั้งนั้นครับ เพียงแต่ว่า ณ วันแรกได้คิดเรื่อง ‘ขาย’ ไว้ก่อนหรือเปล่าก็ไม่รู้ บางทีก็นึกไม่ถึงแล้วมาขายได้ทีหลังก็มีครับ ส่วนตัวอย่างของผมเองก็เคยลงทุนในบริษัทแห่งหนึ่ง แล้วขายให้ผู้ลงทุนในราคา 5 เท่าของราคาพาร์มาแล้ว (ไม่รวมว่าก่อนหน้านั้นก็รับเงินปันผลไปจนคืนทุนเรียบร้อยไปก่อนแล้ว)

2. เอาบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์

แนวคิด: วิธีนี้คล้ายวิธีแรก เพียงแต่ไม่ใช่เอาบุคคลหรือบริษัทมาซื้อหุ้นเรา แต่เป็นการเอาบางส่วนของหุ้นบริษัทเราไปซื้อ-ขายในตลาดหลักทรัพย์ ราคาที่ปรากฎอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ก็สะท้อนถึงราคาหุ้นเดิมที่เราถืออยู่ในมือด้วย เราก็สามารถขายหุ้นของเราในตลาดฯ ได้เช่นกันในราคาตลาด
ตัวอย่างสมการ: บริษัทมีทุนจดทะเบียน 40 ล้านบาท (เอาสมการง่ายๆ ว่าราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท จำนวน 40 ล้านหุ้น) บริษัทมีกำไรปีละ 10 ล้านบาท จึงปันผล = 0.25 บาท/หุ้น
บริษัทแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน และจดทะเบียนเพิ่มทุนอีก 10 ล้านหุ้น เข้าซื้อ-ขายในตลาดหลักทรัพย์ เรียก FA (Financial Advisor) มาทำ valuation (ประเมินราคา) …รายละเอียดขั้นตอนมีมากกว่านี้นะครับ แต่ไม่ใช่จุดประสงค์ของบทความนี้… เสนอขายประชาชนในราคา IPO (Initial Public Offering) = 2.00 บาท/หุ้น เมื่อเข้าตลาดไปแล้ว สมมุติว่าราคาในตลาดฯ คือ 2.00 บาท หุ้นเดิมที่เราถืออยู่ก็สามารถขายได้ในราคา 2.00 บาทเช่นกัน (แน่นอน ตลาดฯ มีมาตรการกำกับไม่ให้ผู้ถือหุ้นเดิมพากันขายหุ้นเอาเงินแล้วทิ้งบริษัทไปโดยฉับพลัน)
ทำไมประชาชนหรือนักลงทุนในตลาดหุ้นยอมซื้อหุ้นเราในราคา 2.00 บาท เพราะเมื่อเทียบกับผลตอบแทนแล้ว ปลายปีบริษัทมีกำไร 10 ล้านบาท ปันผลให้ผู้ถือหุ้น (หลังเพิ่มทุนมี 50 ล้านหุ้น) = 0.20 บาท/หุ้น เทียบเท่ากับผลตอบแทน 10% หรูมากๆ โดยทั่วไป 5% เค้าก็เอากันแล้ว แปลว่า..ราคาหุ้นก็อาจพุ่งไปถึงหุ้นละ 4.00 บาทง่ายๆ เลย ก็เท่ากับว่าหุ้นในมือเรามีมูลค่าเพิ่มขึ้น 4 เท่าทันที มูลค่าหุ้นในมือเจ้าของเดิม 40 ล้านหุ้น (เงินลงทุน 40 ล้านบาท) กลายเป็น 160 ล้านบาทในบันดล
ตัวอย่างจริง: ไม่ต้องยกตัวอย่างอะไรมาก ก็บริษัทมหาชนทั้งหลายในตลาดหลักทรัพย์ทั้งหมดแหละครับ ตอนที่บริษัทของผมเข้าตลาดหลักทรัพย์เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ราคาซื้อขายในวันแรกเปิดที่ 8 เท่าของราคาพาร์ และทะยานไปถึง 13 เท่าในไม่กี่วันต่อมา และผมขอทักท่านผู้อ่านแบบเพื่อนคำหนึ่งนะครับ… เฮ้ย..นี่คือวิธีที่รวยเร็วที่สุดแล้ว

3. เชี่ยวชาญสักอย่าง แล้วขายความเชี่ยวชาญนั้น

ฟังดูงงๆ ลองนึกตามตัวอย่างนี้นะครับ
  • โปรกอล์ฟ สอนคนเล่นกอล์ฟ
  • คนเสียงดี ฝึกฝน แล้วไปเป็นนักร้อง
  • คนหน้าตาดี บุคลิกดี ฝึกฝนแล้วไปเป็นนักแสดง
  • หม่ำ จ๊กม๊ก เป็นคนอารมณ์ขัน ก็เอาดีทางด้านการแสดงแนวตลกขบขัน
คือรู้หรือเชี่ยวชาญสิ่งใด ก็ฝึกฝนให้สุดๆ ไปเลยด้านนั้น แล้วใช้เป็น “สินค้า” ของตัวเอง จะเห็นว่าสินค้าตามตัวอย่างทั้งหมดนี้เป็น “สินค้าที่ไม่มีตัวตน” คือสิ่งที่ส่งมอบให้กับลูกค้านั้นจับต้องไม่ได้ ข้อดีของมันก็คือ ขายเท่าไหร่ก็ไม่มีต้นทุนสินค้าเกิดขึ้นเป็นเงาตามตัว
คนทำธุรกิจส่วนใหญ่มักคุ้นชินกับสินค้าที่มีตัวตน ซื้อมา-ขายไป หรือไม่ก็ลงทุนตั้งโรงงานผลิตสินค้าเอง บางที R&D สินค้าเองด้วยซ้ำ แบบนี้ทุกชิ้นที่ขายออกไปต้องมีต้นทุนของสินค้าติดไปเป็นเงาตามตัวเสมอ ขายมาก..ก็ต้องผลิตมาก..ต้นทุนก็เพิ่มขึ้นตามสัดส่วน (ต้นทุนผันแปร) ไม่นับ ‘ต้นทุนคงที่’ เช่นเงินลงทุนต่างๆ ในการ R&D สินค้า, สร้างโรงงาน, ที่ดิน แล้วยังมี Operating Expense (ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน) อีกด้วยอย่างเช่น เงินเดือนพนักงาน, ค่าน้ำ/ค่าไฟ ฯลฯ
ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ในต่างประเทศฮิตมากในเรื่องของ Info Product หรือสินค้าที่เป็นประเภท Content ข้อมูล อยู่ในรูปแบบ Audio Book, e-Book, Training Course/Class ใครมีความรู้เป็นทุนเดิม หรือศึกษาหาความรู้บางเรื่องให้ลึกสักหน่อย แล้วทำตัวเป็น “ผู้รู้” หรือ Guru ผลิตสินค้าประเภทนี้มาขาย ไล่มาตั้งแต่ Basic อย่างเช่นการเขียนหนังสือ, การเป็นที่ปรึกษา, การเขียน e-Book ไปจนถึงการจัดสัมมนา หรือ Advance หน่อยอย่างเช่น คอร์สออนไลน์, Subscription Program​ ฯลฯ
ผมเองเคยผลิตคอร์สออนไลน์ สารพันธุรกิจรายได้ต่อเนื่อง..ตลอดชีพ ขนาดขายเล่นๆ ยังทำได้ “1 คอร์ส 1 ปี 1 ล้าน”คิดง่ายๆ ว่าขายราคา 2,000 บาท มีคนซื้อ 500 คน ก็หาเงินได้ 1 ล้านแล้ว โดยที่ลงมือลงแรงผลิตสื่อวีดีโอครั้งเดียว ทำเว็บสมาชิก และ sales page หลังจากนั้นก็ไม่ต้องลงแรง/เวลาอีกเลย ปล่อยให้การตลาดทำหน้าที่ของมันไป ทุก copy ที่ขายได้ผมไม่มีต้นทุนอีกแล้ว

ตัวอย่างของผมเองยังถือว่า “กระจอก” อยู่มาก เมื่อเทียบกับคนดังๆ อย่างคุณบอย (วิสูตร แสงอรุณเลิศ) หรือท่านอื่นๆ ผมยกตัวอย่างอีกคนคือ คุณโน้ส-อุดม ก็อยู่ในหมวดนี้เหมือนกัน จัด Talk Show เดี่ยวไมโครโฟน คาดเดาคร่าวๆ ครั้งละ 20 รอบ รอบละ 4,000 คน ขายบัตรราคาเฉลี่ย 2,000 บาท ลองคูณดูได้เงิน 160 ล้านบาท มีต้นทุนค่าเช่าสถานที่และทีมงาน Production ใช่ไหม ไม่ต้องห่วงเขาครับ ยังมี Sponsor อีกกลุ่มหนึ่งจ่ายเงินให้เขา คุ้มค่าต้นทุนพอดี ไม่ต้องเจียด 160 ล้านออกมาสักบาทด้วยซ้ำ อย่างเราๆ ท่านๆ ต้องลงทุนหรือทำธุรกิจอีกกี่ปีถึงจะมีเงิน 160 ล้าน? แล้วนั่น..เดี่ยวเดียวนะครับ..วันนี้กำลังจะมี เดี่ยว 11 แล้ว

4. ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ (หรือสินค้าใดๆ ที่มูลค่าเพิ่มตลอดเวลา)

ก็แล้วแต่ช่วงเวลาเหมือนกัน ท่านผู้อ่านจะเห็นว่ามีบางยุคที่คนซื้ออสังหาฯ แล้วปล่อยขายทีหลัง รวยเอาๆ มันอยู่ที่ว่าท่านซื้อได้ถูกจังหวะเวลาหรือเปล่า ถ้าซื้อในช่วงเศรษฐกิจยังไม่เฟื่องฟูมาก พอเศรษฐกิจเติบโต ราคาที่ดินและอสังหาฯ อื่นๆ ก็ขยับขึ้นพรวดๆ ในอดีตก็มีหลายคนกลายเป็นคนรวยภายในไม่กี่ปีก็เพราะ “ซื้อของได้ราคาถูก” ในเวลาที่ถูกต้องนั้นเอง
อ้อ..ย้ำว่าต้องดูจังหวะเวลาของเศรษฐกิจให้ถูกด้วยนะครับ ไม่งั้นอสังหาริมทรัพย์ จะกลายเป็น อสังหาริบทรัพย์
ถ้าจะเอาสินค้าที่ไม่ต้องเก็งกำไรกันขนาดนั้น ก็เล่นกับ “ธาตุ” ก็ได้ครับ อย่างเช่น ทอง เพชร นั้นเลอค่า และมีแต่จะขยับขึ้น (เมื่อมองภาพรวมยาวๆ) สมัยผมเรียนจบใหม่ๆ เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว ทองบาทละ 4,000 เดี๋ยวนี้ปาเข้าไป 4-5 เท่าแล้ว ถ้าเทียบกับการลงทุนอื่นๆ ต้องได้ผลตอบแทน 7.5-8.0% ต่อปีเลยทีเดียว
เรื่องของการ “ซื้อของได้ราคาถูก” เนี่ย ผมขอส่งสัญญาณไว้ตอนนี้เลย (24 ส.ค. 58) ว่า เรากำลังเข้าใกล้ “ช่วงเวลาทอง” เช่นนั้นในอีกไม่นาน ณ เวลานี้คนที่ได้เปรียบที่สุดคือคนที่มีเงินสดอยู่ในมือ เมื่อใดที่เศรษฐกิจถึงจุดต่ำสุด เราจะได้ “ซื้อของถูก” กันอีกรอบ แต่อย่าถามผมออกอากาศเลยว่าเมื่อไหร่ บางอย่างพูดหรือเขียนในที่สาธารณะไม่ได้ แต่ถ้าใครเจอหน้าผม ผมจะบอกให้ฟังว่าคิดยังไง

5. เล่นหุ้น

เป็นอีกวิธีที่ผมทำเงินมาในอดีต ผมไม่ได้เป็นนักเล่นหุ้น แต่ลงทุนในระยะยาวมากกว่า หรือหุ้นบางตัวก็เป็นเพราะผมเห็นโอกาส โดยวิเคราะห์จากพื้นฐานว่าราคาที่แท้จริงมันควรอยู่ที่ใด และ ณ เวลานั้นผู้คนยังมองไม่เห็นจุดนี้ ราคาจึงต่ำกว่าความเป็นจริงมาก ผมจะรีบตัดสินใจทันที เข้า/ไม่เข้า เป็นเรื่องการฉกฉวยโอกาสที่คนยังมองไม่เห็นค่าที่แท้จริง อย่างหุ้นบริษัทหนึ่ง เมื่อปลายปี 2556 ผมซื้อตั้งแต่ราคา 7 บาท ไปขายเอากลางๆ ปี 2557 ที่ราคาเกือบ 20 บาท
เรื่องการทำเงินจากการเล่นหุ้นนี่ มีคนอื่นเจ๋งกว่าผมเยอะ ผมไม่ได้มีรายได้จากเรื่องนี้มากหรอกครับ แค่เคยมีประสบการณ์นิดหน่อยเท่านั้น และไม่ใช่ว่าผมไม่เคยขาดทุนมาก่อน มันก็มีทั้งได้และเสีย (ประเมินผิด) ผมไม่แนะนำให้ซื้อ-ขายหุ้นแบบเก็งกำไร วิ่งไล่ซื้อ-ขายตามคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่โบรกฯ หรือ marketing เชียร์
แม้กระทั่งเล่นแบบ Technical (แบบที่เขาดูกราฟกัน) ก็ไม่แนะนำ เพราะถือว่าไม่ได้อิงกับ “พื้นฐานความเป็นจริง” และ “ความสามารถในการประกอบการ” สุดท้ายแล้วทุกอย่างจะกลับมาอยู่ใน ‘จุดสมดุล’ ของมันเสมอ ก็คือราคาจะสะท้อนจากความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจนั้นๆ ผมแนะนำว่าควรลงทุนในหุ้นแบบมีคุณค่า (เป็น Value Investor) ซึ่งใช้พื้นฐานของบริษัทเป็นหลัก ถ้าอะไรมันดี ระยะยาวมันก็จะดีเอง
ผมเคยไปฟังสัมมนาของคุณกิ๊ด (กิติชัย เตชะงามเลิศ) ที่ทำเงินจาก 1 ล้านกลายเป็น 500 ล้าน สรุปแล้วเขา “อ่านขาด” ว่าธุรกิจประกันจะเติบโต แล้วเขาก็มีโอกาสลงทุนในหุ้น SCB Life ตั้งแต่ราคา 70 กว่าบาท ปัจจุบันราคาประมาณ 1,200 บาท/หุ้น คงนึกภาพออกนะครับว่า ชีวิตนี้ต้องการการ “อ่านขาด” เพียงแค่ครั้งเดียวก็เกินพอ (แต่ที่จริงคุณกิ๊ดมีความรู้ในเรื่องการลงทุนเป็นอย่างดี และลงทุนในเรื่องอื่นมากกว่านั้น อย่างเช่นอสังหาฯ ตามข้อ 4 อีกด้วย)

พอจะเห็นภาพไหมครับว่ามีวิธีการไหนบ้างที่ทำให้ “รวยเร็ว” และย้ำอีกครั้งนะครับ มันไม่ใช่ “รวยง่าย” แต่มันก็ไม่ได้ยากเกินทน หากใครรู้แนวทางเหล่านี้ และศึกษา วางแผน ลงมือปฏิบัติอย่างเป็นแบบแผน ผมก็คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ไกลเกินเอื้อม
เมื่อรู้แล้วก็เริ่มสำรวจตัวเองนะครับ ว่าพอจะทำตามแนวทางไหนได้บ้าง หวังว่าพอจะเป็นแรงบันดาลใจให้ท่านได้ไม่มากก็น้อยอ้อ..แล้วก็อย่าลืมแชร์ให้เพื่อนๆ ท่านทราบด้วย อย่างน้อยก็เป็นวิทยาทานให้กับคนรอบตัวท่านนะครับ

ขอขอบคุณบทความดีดีจาก
ธนกร – ผู้ก่อตั้งตลาดปัญญา




วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2559

ระบบบริหารคลังอะไหล่ Invent Cloud


Invent Cloud เป็นระบบการบริหารและจัดการคลังพัสดุอะไหล่ (Stock Control System) ที่พัฒนาบน เทคโนโลยี Cloud Computing สามารถใช้งานผ่านระบบอินเตอร์เน็ตเดิมที่มีอยู่

• รองรับระบบ Multi-Stock และ Multi-Location พร้อมระบุสถานที่เก็บได้ชัดเจนเพื่อให้การบริหารเป็นไปอย่าง
รวดเร็ว
• สามารถใช้งานบนเครื่อง PC และ Smartphone
• สามารถแสดงการเคลื่อนไหวของพัสดุอะไหล่ (Stock Cade) ประวัติการสั่งซื้อ-จ่ายออก พร้อมแสดงค่าใช้จ่ายโดยละเอียด
• สามารถรายงานจำนวนพัสดุอะไหล่คงเหลือ และ แสดงจุดสั่งซื้อ (Re-order Point) จุดสูงสุด (Maximum Stock) และจุดต่ำสุด (Minimum Stock) แบบอัตโนมัติ

ฐานข้อมูล
 Invent Cloud สามารถเก็บรายละเอียดของอะไหล่ได้อย่างละเอียด อาทิ     
- รหัสอะไหล่
- ชื่ออะไหล่  (ไทยและอังกฤษ)
- รายละเอียดด้านเทคนิค
- แบบ รุ่น ขนาด
- ข้อมูลด้านเทคนิค
- ยี่ห้อ
- จุดสั่งซื้อ (Re-Order Point)
- จุดสูงสุด (Maximum Stock)
- จุดต่ำสุด  (Minimum Stock)
- รูปภาพ 
- ประวัติการเคลื่อนไหว (Stock Cade)

Invent Cloud รองรับการทำงาน.....
• ระบบการปรับยอด (Stock Adjustment) รองรับการตั้งค่าของอะไหล่ เมื่อจำนวนในคลังและจำนวนในโปรแกรมที่มีจำนวนและราคาไม่ตรงกัน
• ระบบรับเข้า (Stock Receive) รองรับการรับอะไหล่เข้าสโตร์ พร้อมการบันทึกจำนวน ราคาและผู้ขาย
• ระบบเบิกออก (Stock Issue) รองรับการเบิกออก พร้อมเก็บประวัติการเบิกของแต่ละแผนก รวมถึงค่าใช้จ่าย
• ระบบยืมและคืน (Stock Borrow & Return)  รองรับการยืม และการควบคุมการคืนอะไหล่

Invent Cloud ให้รายงาน.......

- รายงานแสดงการเคลื่อไหวของพัสดุอะไหล่ในแต่ละรายการ
- รายงานแสดงจำนวนคงเหลือ
- รายงานแสดงมูลค่า
- รายงานแสดงจุดควบคุมต่างๆและอัตโนมัติ
- รายงานการรับเข้าสูงสุด 10 อันดับแรกของพัสดุไหล่ ทั้งจำนวนและมูลค่า
- รายงานการเบิกออกสูงสุด 10 อันดับแรกของพัสดุอะไหล่ ทั้งจำนวนและมูลค่า
- รายงานการวิเคราะห์ทางด้านอะไหล่


มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับเรา.... กับการนำเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาองค์กร








CMMS โปรแกรมบริหารงานซ่อมบำรุง ที่ทำให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น


วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2559

นี่คือกฎ 9 ข้อของการใช้ Social Media เพื่อการตลาด

วิธีใช้ social media ทำการตลาด, การตลาดบน social media
ผมคิดอยู่นานว่าจะเรียบเรียงอะไรให้ท่านผู้อ่านดีในวันนี้ ท่ามกลางการเติบโตก้าวกระโดดของการใช้ Social Media ของผู้คน บวกกับการตลาดในยุคปัจจุบันที่มองหาช่องทางที่ต้นทุนต่ำลง หรืออย่างน้อยก็ทำการตลาดในที่ที่คนอยู่ (ก็เหมือนการตกปลาในบ่อเลี้ยงปลานั่นแหละ) ผมคิดว่ามีสิ่งน่าคิดเกี่ยวกับการใช้ Social Media ในการทำการตลาดที่หลายท่านหลงลืม หรือหลุด Theme ก็เลยอยากจะนำมารวบรวมอีกทีที่นี่ และในฐานะที่ผมจบ Computer Engineering มา วันนี้ก็เลยอยากเขียนในธีมของ “กฎ” ตามความถนัดครับ


1. กฎแห่งความสัมพันธ์

อย่าลืมว่าแก่นสารของการเข้าสังคมคือ “ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน” และนี่คือหัวใจของการใช้ Social Media เลยทีเดียว ไม่ว่าท่านจะทำอะไรลงไป (โพสต์/แชร์/คอมเม้นท์) ให้นึกก่อนเลยว่า “นี่มันจำทำให้ความสัมพันธ์ของฉันกับผู้คนรอบๆ ดีขึ้นหรือแย่ลงเนี่ย” สิ่งที่ท่านทำมันจะทำให้ท่านสนิทชิดเชื้อและ “เป็นที่รัก” ของเครือข่ายของท่าน หรือมันจะทำให้ท่าน “เสื่อม” ลงทีละน้อย ถ้าท่านไม่มีเวลาอ่านทุกบรรทัดของบทความนี้ ขอให้จำข้อนี้ข้อเดียวได้เลย..เพราะมันสำคัญและเป็นพื้นฐานของทุกข้อ

2. กฎแห่งการฟัง

ทำไมต้องฟัง ง่ายๆ เลยก็เพราะว่าการตลาดแบบอื่นๆ นั้นเป็นการสื่อสารทางเดียวไปยังผู้บริโภคหรือผู้รับข่าวสาร แต่ Social Media นั้นเป็นการสื่อสาร 2 ทาง มีทั้งให้และรับ มีทั้งพูดและฟัง
แล้วฟังอะไรหรือ? ก็ฟังสิ่งที่ผู้บริโภคหรือลูกค้าพูดถึงสินค้าของท่านไง หรืออย่างน้อยท่านก็ควรต้องเรียนรู้ว่าผู้บริโภคชอบอะไร ไม่ชอบอะไร พูดถึงคู่แข่งของท่านว่าอย่างไร และพูดถึงท่าน/สินค้าของท่านอย่างไร และยังไม่พอ..คนเรานั้นก็เปลี่ยนแปลงได้ตลอด เดี๋ยวชอบนั่น เดี๋ยวไม่ชอบนี่ เพราะฉะนั้น..ท่านจึงต้อง “ฟัง” ตลอดเวลา และนี่คือวิธีที่ท่านจะใช้ประโยชน์จาก Social Media ในการปรับตัว

3. กฎแห่งการโฟกัส

สมัยที่มี Social Media ใหม่ๆ เรายังไม่ค่อยมีคู่แข่งมาก และผู้ใช้ก็ยังไม่มาก เราสามารถเข้าถึงผู้คนทุกหมู่เหล่าได้โดยง่าย โดยใช้ content หรือเนื้อหาประเภทอะไรก็ได้ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้แล้ว เราต้องกำหนดคุณลักษณะของกลุ่มเป้าหมาย มองหาตลาดเฉพาะทาง (Niche Market) แล้วพุ่งเป้าไปทำการตลาดและสร้างความสัมพันธ์กับคนกลุ่มย่อยที่เราหมายตาไว้แล้วว่าเป็นกลุ่มเป้าหมายของเรา
“การจะสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง ต้องเลือกและโฟกัสที่กลุ่มเป้าหมายย่อย แล้วใช้ Content Marketing สร้างความสัมพันธ์และความน่าเชื่อถือ ถึงจะมีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่าการทำการตลาดแบบกว้างๆ” ยังไงซะ การมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนกลุ่มน้อย..ก็ย่อมดีกว่าการถูกกลืน/ละลายไปในคนหมู่มากที่ไม่ได้รักคุณเลย จริงไหม

4. กฎแห่งคุณภาพ

การใช้ Social Media ทำการตลาด ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเราคาดหวังความสัมพันธ์กับผู้คนรอบๆ ไม่พอ..ต้องเป็นความสัมพันธ์ “ที่ดี” ด้วย และโดยกฎธรรมชาติ การจะได้อะไรดีๆ กลับมา ก็ต้องลงทุนด้วยสิ่งที่มีค่าเทียบเท่ากันเสมอ นั่นหมายความว่า การที่ผู้คนในกลุ่มเป้าหมายจะชื่นชอบ และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับท่านนั้น ท่านต้อง “ให้” หรือแบ่งปันเนื้อหาที่มีคุณภาพ (ตอบโจทย์/แก้ปัญหาให้กับผู้มุ่งหวัง หรือเป็น content ที่ผู้มุ่งหวังกำลังมองหา)

5. กฎแห่งการทบต้น

ก็เหมือนการฝากเงินกับธนาคาร ท่านจะได้ดอกเบี้ยก็ต่อเมื่อท่านมีเงินฝาก ท่านจะสร้างความสัมพันธ์อันดี ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากกลุ่มเป้าหมายได้ ก็ต่อเมื่อท่าน “สร้างมัน” และก็เหมือนดอกเบี้ยทบต้นนั่นแหละ ช่วงแรกๆ ดูเหมือนว่าผลตอบแทนจะเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไปแบบสะสม ความสัมพันธ์อันดีของท่านกับกลุ่มเป้าหมายจะเติบโตขึ้นอย่างทวีคูณเหมือนดอกเบี้ยทบต้น

6. กฎแห่งความอดทน

ตอนที่ผมเรียนปี 1 วิศวะ ในวันรับน้อง พี่พาเดินแถวเข้าห้องประชุมใหญ่ ระยะทางแค่ไม่กี่สิบเมตร แต่เราใช้เวลาเดินเป็นชั่วโมง เพราะรุ่นพี่พาเดิน “ทีละคืบ” และหยุดเกือบนาที กว่าจะก้าวไป “อีกคืบ” พวกเราร้อนและหงุดหงิดมากเพราะไม่เข้าใจว่าพี่ทำอะไร จนมารู้ตอนหลังว่าเป็นกุศโลบายที่รุ่นพี่ต้องการฝึกให้รู้จักความอดทน และเข้าใจว่าการบรรลุเป้าหมายอะไรบางอย่าง บางครั้งต้องใช้เวลา และบางเรื่องก็ไม่มีคำอธิบาย ทำได้แค่อดทนรอและรักษาระเบียบวินัยไว้ให้ได้ก็จะผ่านไปได้เอง
การสร้างความสัมพันธ์กับผู้คนก็เช่นกัน ถ้าเราจีบสาววันแรก เราคงไม่คุยเรื่องการไปพบพ่อ-แม่ของสาวเจ้าตั้งแต่วันแรกที่คุยกันใช่ไหม ฉันใดก็ฉันนั้น การจะใช้ Social Media เป็นเครื่องมือในการพัฒนาความสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมายเพื่อพาไปสู่สถานะความพร้อมที่เขาจะซื้อสินค้าจากเราก็ต้องมีรูปแบบ กระบวนการ และใช้เวลา

7. กฎแห่งคุณค่า

คล้ายกฎแห่งคุณภาพ แต่กฎแห่งคุณค่าจะเน้นนักเน้นหนาในเรื่องของการแบ่งปันสิ่งดีๆ และสร้างสรรค์ให้กับผู้คนรอบข้าง ไม่ว่าท่านจะทำกิจกรรมใดในเชิงการตลาด ให้ท่านนึกอยู่เสมอว่าช๊อตนี้เรากำลังทำสิ่งดีๆ อะไรให้สังคม

8. กฎแห่งการรู้จักตอบรับ

จะมีประโยชน์อะไร ถ้าท่านเป็นฝ่ายพูดๆๆ อยู่ฝ่ายเดียว แม้มีคนมา Like, Comment ท่านก็ไม่ตอบสนองอะไร
อีกครั้ง..ในเมื่อเรากำลังพูดถึง Social Media หรือสื่อ “สังคม” มันย่อมหมายถึงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และในเมื่อคนเรา (ว่าที่ลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายของท่าน) ต้องการมีคนเห็น/มีคนฟังพวกเขา เมื่อพวกเขามีปฏิสัมพันธ์กับท่านอย่างไร ท่านต้องไม่ละเลยและรีบตอบสนองอย่างเร็วไว
ลองนึกภาพท่านไปงานเลี้ยง ท่านจะคาดหวังให้คนเข้ามารุมล้อมและพูดคุยกับท่านก่อนไม่ได้ ถ้าท่านไม่เอื้อนเอ่ยหรือเริ่มที่จะพูดคุยกับคนก่อน ยกเว้นว่าท่านเป็นซุปเปอร์สตาร์คนดังที่ทุกคนอยากเข้าละก็ไปอย่าง แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้น ถ้าผู้คนมารุมล้อมท่านแล้ว ท่านเก็กท่าไม่พูดไม่จาเลย ทุกคนก็จะจากไปอย่างรวดเร็ว จริงไหม

9. กฎแห่งการ(ให้)เข้าถึง(ได้)

ไม่มีความสัมพันธ์ที่ดีเกิดขึ้นกับคนที่อยู่บนหอคอยงาช้าง ที่วันๆ เอาแต่พูดอยู่ฝ่ายเดียวโดยไม่รับฟังคนอื่น และไม่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้คน ยังไงความสัมพันธ์ก็ไม่เกิด ถ้าท่านโพสต์อะไรสักอย่างใน Social Media อย่า “โพสต์แล้วหายเงียบ” จงติดตามดูปฏิกริยาของผู้คน และตอบสนองอย่างฉับไว นั่นคือวิธีที่ถูกต้องในการใช้ Social Media ทำการตลาดครับ
หวังว่าคงเป็นประโยชน์กับท่านไม่มากก็น้อย ไหนๆ ก็อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ลองประยุกต์ใช้กฎข้อ 8 ดูบ้างไหมครับ เขียน Comment ด้านล่างว่าเมื่อได้เรียนรู้อะไรๆ จากบทความนี้แล้ว ท่านรู้สึกอย่างไร หรือมีความเห็นที่สร้างสรรค์อะไรเพิ่มเติมครับ
ขอขอบคุณบทความดีดีจาก
ธนกร – ผู้ก่อตั้งตลาดปัญญา
ธนกร ชาลี ตลาดปัญญา โค้ช มาร์เก็ตติ้ง

วันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2559

10-Step ปลดล็อคศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในตัวคุณ

content-skill-coachcoco
“ทุกวันนี้คนเราใช้แค่ 10%  ของศักยภาพที่เรามีเท่านั้น” นี่เป็นคำบอกเล่าจาก โค้ช โกโก้ ดร.วรพรรณ เอื้ออาภรณ์ ( Trainer & Coach: Associate Certified Coach (ACC), ICF, USA. ) ที่เล่าให้กับทีมงานตลาดปัญญาฟัง ดร.โกโก้ได้บอกกับเราอีกว่า บางครั้งถ้าเรารู้สึกแย่ ท้อถอย ไร้ซึ่งไอเดีย หรือคิดว่าเราทำอะไรก็ไม่ดี ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ จริงๆ แล้วมันไม่ใช่เพราะเราไม่ดีหรือไม่เก่งแต่มันเป็นเพราะว่าเราไม่รู้วิธีการที่จะดึงศักยภาพอีก 90% ที่มีอยู่ในตัวเรามาใช้ต่างหาก และที่สำคัญไม่มีใครมาสอนเราได้ด้วยว่าเราจะดึงศักยภาพเหล่านั้นมาใช้ได้ยังไง เพราะคนที่รู้จักตัวเรามากที่สุดนั่นก็คือตัวเราเอง ดังนั้นสิ่งสำคัญคือเราต้องฝึกตัวเองเป็น ต้องรู้วิธีการทำจะนำศักยภาพอีก 90% ของเราออกมาใช้ให้ได้ และเมื่อนั้นการบรรลุเป้าหมายของเราก็ไม่ใช่สิ่งที่ไกลเลย
เราเชื่อว่าผู้อ่านคงเคยสงสัยกันอยู่บ่อยครั้งว่า เพราะอะไร..คนธรรมดาๆ คนหนึ่งถึงกลายเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ได้ ซึ่งส่วนใหญ่เรามักจะได้คำตอบที่ (คิดเอง) หรือ (คนอื่นบอก) ว่าเพราะคนเหล่านั้นเป็นคนเก่ง แต่ดร.โกโก้เล่าให้เราฟังว่าจริงๆ แล้ว คนเราทุกคนมีศักยภาพอยู่ในตัวเท่ากันหมด แต่คนที่บรรลุเป้าหมายได้คือคนที่ดึงศักยภาพตัวเองมาใช้ได้อย่างเต็มที่ต่างหาก โดยดร.โกโก้เองก็มีกระบวนการโค้ชที่จะช่วยดึงศักยภาพของทุกคนออกมา ในคอร์สออนไลน์ที่ชื่อว่า “ไขกุญแจสู่ความสำเร็จด้วยกระบวนการโค้ช” ถ้าสนใจสามารถคลิกดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ภาพด้านล่างได้เลย
และสำหรับในส่วนบทความของเรา เรื่องราวดีดีที่จะมาแบ่งปันให้ผู้อ่านได้ฟังกันในวันนี้ ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีการที่จะช่วยดึงศักยภาพที่ถูกซ่อนอยู่ในตัวของเราออกมาด้วยการเปิดโลกทัศน์ของเราให้กว้างขึ้น ด้วย 10 วิธีที่เราสามารถลงมือทำได้ทันที

1. เปิดโลกให้กว้างขึ้นด้วยสมาร์ทโฟน

ทุกวันนี้เราสามารถใช้เทคโนโลยีเพื่อมาช่วยให้เราเรียนรู้ทุกอย่างได้ง่ายขึ้น และมากขึ้นกว่าเดิม  เพียงแค่เราเลือกที่จะเรียนรู้จากสมาร์ทโฟนของเราแทนการนำไปใช้ในทางอื่นที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร ลองเข้าไปดูรายการของต่างประเทศ สารคดี รูปภาพ เรื่องราวหรือวัฒนธรรมต่างๆ ของประเทศที่เรายังไม่รู้จัก ลองดูการใช้ชีวิตของผู้คนอื่นๆ ที่ห่างไกลจากเราว่าพวกเขาใช้ชีวิตแตกต่างจากเรายังไง ประเทศของเขามีภูมิประเทศแบบไหน มันจะทำให้คุณได้ประสบการณ์ที่มากมายจากการเรียนรู้สังคมและวัฒนธรรมของคนที่แตกต่าง และที่สำคัญคุณจะค้นพบวิธีการที่พวกเขาใช้เพื่อพัฒนาตัวเอง ลองดูสิว่า ผู้คนในประเทศยักษ์ใหญ่อย่างอเมริกา ยุโรป หรือญี่ปุ่นนั้นมีวิถีชีวิตแบบไหน อะไรที่ทำให้พวกเขาพัฒนา แล้วลองนำวิธีการเหล่านั้นมาปรับใช้เพื่อพัฒนาตัวเราเอง ถ้าคุณลองมองหาให้มากๆ เราเชื่อว่ามันต้องมีสักวิธีหนึ่งที่เข้ากับคุณอย่างแน่นอน

2. ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับสิ่งเดิมๆ เสมอไป

การทำแต่สิ่งเดิมๆ อยู่บ่อยครั้งสุดท้ายจะทำให้สมองของเรานั้นไม่ได้พัฒนาศักยภาพเท่าที่ควร เพราะการกระทำเหล่านั้นจะเปลี่ยนเป็นความเคยชินไปในที่สุด ดังนั้นเราอาจลองหาสิ่งใหม่ๆ ให้กับตัวเองบ้าง ถ้าเอาแบบที่ง่ายที่สุดก็คือลองไปในที่ที่เราไม่เคยไปเพื่อหาประสบการณ์ใหม่ๆ ยกตัวอย่างเช่น ปกติดูแต่หนังโรแมนติค ก็อาจเปลี่ยนมาเป็นแนวแฟนตาซีบ้าง ปกติชอบไปแต่ห้างสรรพสินค้า ร้านกาแฟ ลองเปลี่ยนไลฟ์สไตล์มาเป็นเข้าห้องสมุด อ่านหนังสือ ปกติชอบเที่ยวกลางคืนลองเปลี่ยนมาเที่ยวกลางวันดู วัดวาอารามโบราณสถานต่างๆ ปกติชอบขับรถลองเปลี่ยนมาเดิน มาขึ้นรถสาธารณะ การที่เราหาอะไรใหม่ๆ อยู่เสมอมันจะช่วยให้เรามีประสบการณ์มากขึ้น เห็นสิ่งต่างๆ ในมุมมองที่กว้างขึ้น

3. ปิดตาและฟังเสียงรอบๆ ตัวคุณ

ลองหยุดแล้วฟังเสียงธรรมชาติที่ล้อมรอบตัวคุณอยู่ เสียงไก่ขัน เสียงนก หรือแม้แต่เสียงใบไม้ที่สั่นไหวเพราะแรงลม แล้วลองเปรียบเทียบดูว่าเสียงจากธรรมชาตินั้นมันให้ความรู้สึกและมีความแตกต่างจากเสียงในสังคมเมืองยังไง เสียงรถราข้างถนน เสียงคนข้างห้อง เสียงคนประชุมงาน คุยกับลูกค้า ความวุ่นวายในสำนักงาน  ลองหลับตาแล้วฟังเสียงธรรมชาติดู ถ้าหากคุณยังไม่เคยทำ แนะนำให้ลองทำเดี๋ยวนี้เลยค่ะ เพราะคุณจะค้นพบอะไรบางอย่างที่แตกต่าง และนั่นคือจุดเริ่มต้นของไอเดียดีๆ ที่ครีเอทีฟหลายคนชอบใช้กันค่ะ

4. สังเกตและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคนรอบๆ ตัวคุณ

หากเรามีโอกาสที่ต้องพบปะผู้คนอยู่บ่อยๆ ไม่จะเป็นทั้งเรื่องของงานหรือเรื่องส่วนตัว อย่าลืมที่จะใส่ใจคู่สนทนา ลองสังเกตความคิดของพวกเขา พฤติกรรม และการแสดงออก เพราะสิ่งเหล่านี่จะช่วยให้เราเข้าใจมุมมองของผู้อื่น และสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้อื่นได้ด้วย การฟังเรื่องราวจากผู้อื่นไม่ใช่เรื่องที่เสียเวลา เพราะมันจะช่วยให้ได้เรียนรู้จากการกระทำของพวกเขาและนำมาปรับใช้กับตัวเราเอง การที่เราเรียนรู้วิธีการมากมายและประสบการณ์ที่มากมายจากผู้อื่นนั้นจะทำให้ศักยภาพในตัวเราก้าวหน้าขึ้นได้อย่างรวดเร็วในแบบที่เราคาดไม่ถึงเลยค่ะ

5. ท้าทายตัวเองด้วยการทำในสิ่งใหม่ๆ

ลองมองหาสิ่งใหม่ๆ ทำ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องที่ยากมากมายเลย ยกตัวอย่างง่ายๆ หากปกติเราเป็นคนไม่ค่อยวางแผนชีวิต ไม่เคยคิดว่าวันพรุ่งนี้จะทำอะไรบ้าง ลองเปลี่ยนมาวางแผนดูว่าพรุ่งนี้ต้องทำอะไร วันต่อไปต้องทำอะไร  หรือแม้แต่การเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือชุมชนก็ทำให้คุณสามารถค้นพบประสบการณ์ใหม่ๆ ได้มากขึ้น สิ่งสำคัญคือหากคุณตั้งใจที่จะทำอะไรสักอย่าง คุณต้องทำทุกอย่างนั้นให้สำเร็จ การฝึกฝนตัวเองแบบนี้จะช่วยให้เรามีความคิดริเริ่ม เป็นนักคิด และกลายเป็นคนที่มีศักยภาพในที่สุด

6. สังเกตผู้คนที่เราไม่รู้จัก

ลองไปอยู่ในที่สาธารณะ เช่น สวนสาธารณะ รถไฟฟ้า ห้างสรรพสินค้า แล้วลองสังเกตดูว่าผู้คนรอบตัวของเรานั้นกำลังทำอะไรอยู่ ช่วงนี้ผู้คนส่วนใหญ่ชอบใส่เสื้อผ้าแบบไหน วัยรุ่นทำอะไรบ้างในห้างสรรพสินค้า วัยทำงานชอบทานอาหารที่ร้านไหน มีอะไรใหม่ๆ บ้างที่เรายังไม่เคยรู้มาก่อน ลองจดรายละเอียดเหล่านั้นแล้วนำมาคิดดูว่า สิ่งเหล่านั้นทำให้เรารู้สึกอย่างไรบ้าง แล้วคุณจะค้นพบบางสิ่งบางอย่างที่คุณอาจไม่เคยนึกถึงมันมาก่อนเลย

7.  ดื่มด่ำไปกับภาพยนตร์และเสียงเพลง

ในขณะที่เราดูภาพยนตร์หรือฟังเพลง อาจมีหลายครั้งที่เราเสียสมาธิไปกับสิ่งอื่นๆ ยิ่งถ้าเราไม่ได้อยู่ในโรงภาพยนตร์ โอกาสที่เราจะเสียสมาธิกับการดูหนังนั้นง่ายมาก ไม่ว่าจะเป็นคนโทรเข้า เสียงจากภายนอก หรือแม้แต่ไลน์ในสมาร์ทโฟนที่ดังขึ้นมา ยิ่งการฟังเพลงยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย บางคนฟังเพลงเพื่อฆ่าเวลา ฟังระหว่างทำกิจกรรมอื่นๆ ซึ่งรู้หรือไม่ว่าสิ่งที่เราทำอยู่นี้ทำให้เราพลาดสิ่งดีดีไปโดยที่เราไม่คาดคิดเลย เพราะทุกครั้งในการทำภาพยนตร์หรือเพลงสักเพลง ผู้กำกับ นักแต่งเพลง นักดนตรีมักจะใส่ความพิเศษบางอย่างลงไปในเรื่องราวและเพลงที่พวกเขาแต่งเสมอ การที่คุรไม่ได้ตั้งใจกับสิ่งเหล่านั้นอย่างมีสมาธิจะทำให้คุณพลาดสิ่งสำคัญที่อยู่ในนั้นไปอย่างน่าเสียดาย ดังนั้น ลองหาเวลาว่างๆ ไล่เก็บหนังเก่าๆ  ที่เราเคยดูแบบผ่านๆ และเพลงที่เราเคยฟังแบบผิวเผิน มาตั้งสมาธิกับมันแล้วลองหา “สิ่งพิเศษ” ที่พวกเขาต้องการจะบอกกับคุณ

8. หลงทาง

อ่านไม่ผิดค่ะ เราเขียนว่าหลงทางจริงๆ เพราะการหลงทางจะช่วยให้คุณค้นพบเส้นทางใหม่ๆ สถานที่ที่คุณไม่เคยไป (หรือแม้แต่ไม่รู้ว่ามันมีอยู่) ถนนที่ไม่เคยผ่าน หากคุณมีเวลาว่าง ลองทำดูค่ะ คุณอาจจะค้นพบร้านกาแฟ หรือร้านอาหารที่คุณไม่เคยเห็น และแตกต่างจากสิ่งเดิมๆที่คุณเห็นอยู่ทุกวัน คุณจะกลายเป็นคนที่ใส่ใจในสิ่งรอบตัวมากขึ้นเมื่อคุณได้ค้นพบถนนหรือแม้แต่ซอกซอยใหม่ๆ ที่ซ่อนอยู่รอบตัวคุณ

9. วิเคราะห์สิ่งที่คุณเห็น สิ่งที่คุณอ่าน และตั้งคำถามกับสิ่งเหล่านั้น

ดีใจด้วยค่ะ!! หากคุณอ่านมาถึงตรงนี้ และทำตามได้มาถึงตรงจุดนี้ นั่นแสดงว่าคุณได้กลายเป็นคนที่มีศักยภาพมากกว่าเดิมแล้วอย่างแน่นอน ถ้าคุณมีอยู่แล้ว มันจะมากขึ้นไปอีก และวิธีการนี้จะช่วยให้คุณดึงความเก่งและความสามารถในตัวคุณออกมาใช้ได้อย่างไม่หยุดยั้งเลยด้วยการตั้งคำถาม…นิวตัน นักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่ ค้นพบแรงโน้มถ่วงของโลกด้วยการตั้งคำถามง่ายๆ ว่า “ทำไมแอปเปิ้ลถึงตกลงมา” ดังนั้นลองเริ่มต้นตั้งคำถามในทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณอยากรู้ ลิสต์ไว้เลยค่ะ แล้วมานั่งหาคำตอบทีละข้อ ขอให้พยายามทำด้วยตัวเอง ไม่แน่ว่าในอนาคต คุณอาจจะกลายเป็นคนยิ่งใหญ่กว่านิวตันเสียอีก

10. ช่วยเหลือผู้อื่นด้วยทักษะที่คุณมี

จาก 9 ข้อที่เล่ามาทั้งหมด ลองลงมือทำดูโดยอาศัยจากสิ่งเดิมที่คุณมีไปพร้อมๆ กัน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเห็นเด็กสักคนอ่านหนังสือไม่ออก สะกดคำไม่ได้ คุณอาจจะลองเข้าไปสังเกตและช่วยเหลือดู  ไปช่วยพวกเขาแก้ปัญหา ลองเอาทักษะต่างๆที่คุณมีไปช่วยผู้อื่นแก้ไขปัญหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของไอที ไฟฟ้า รถยนต์ การสื่อสาร การคำนวน ภาษา และอื่นๆ ด้วยวิธีการนี้จะช่วยให้คุณเป็นมากกว่าคนที่มีศักยภาพ แต่มันจะทำให้คุณกลายเป็นคนที่ช่วยสร้างศักยภาพให้คนอื่นได้อีกด้วย และเมื่อคุณทำได้ถึงขั้นนี้แล้ว เชื่อได้เลยว่า มันจะไม่มีอุปสรรคใดใดที่จะมาหยุดยั้งความสามารถและศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในตัวคุณได้อีกต่อไปค่ะ

ขอขอบคุณบทความจาก
บรรณาธิการ : ตลาดปัญญา.com


วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2559

10 ไอเดียเจ๋งๆ พลิกวิกฤตเดือนชนเดือนเป็นมีเงินเก็บเต็มกระเป๋า

ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน ทำอะไรก็ตามเรื่องการบริหารจัดการเงินถือได้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่จำเป็นและขาดไม่ได้เลยจริงมั้ยคะ
ปัญหาที่คนส่วนใหญ่มักจะต้องพบเจอกันอยู่บ่อยๆ ก็คือปัญหาการใช้เงินเดือนชนเดือน จนทำให้สุดท้ายไม่มีเงินเก็บ เวลาเกิดปัญหาเลยไม่มีเงินสำรองไว้ใช้จ่ายต้องไปกู้เงินหรือรูดบัตรเครดิตที่ทำให้ต้องเจอภาระเรื่องดอกเบี้ยเพิ่มเข้ามาอีก สุดท้ายเรื่องเงินเก็บเลยไม่ต้องพูดถึงเลย แค่ผ่อนเงินกู้ก็ปวดหัวแล้ว จนบางครั้งเราก็สะสมปัญหาเหล่านี้ไว้จนกลายเป็นความเครียดแบบที่เราไม่รู้ตัว
แต่รู้หรือไม่คะว่าจริงๆ แล้ว การมีเงินเก็บไม่ใช่เรื่องยากเลย เพียงแต่เราไม่รู้วิธีแค่นั้นเอง วันนี้ ตลาดปัญญา.com จะพาทุกท่านไปดูเคล็ดลับง่ายๆ ที่จะช่วยให้มีเงินเหลือสำหรับเป็นเงินเก็บเยอะขึ้น แอบบอกด้วยค่ะว่า วิธีการเหล่านี้เป็นวิธีการที่มหาเศรษฐิส่วนใหญ่ใช้กันด้วยนะ

1. ธนาคารที่ดีต้องฟรีค่าธรรมเนียม

money-1สิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นได้เป็นอย่างมาก คือ เลือกธนาคารที่ไม่คิดค่าธรรมเนียมสำหรับบริการต่างๆ หรือเลือกธนาคารที่ค่าธรรมเนียมถูกที่สุด เริ่มตั้งแต่การทำบัตร ATM  เลยค่ะ โดยปกติถ้าเราเลือกใช้บัตร ATM แบบธรรมดา ธนาคารบางแห่งจะไม่คิดค่าธรรมเนียมรายปี อาจจะมีแค่ค่าธรรมเนียมออกบัตร แต่ถ้าเป็นบัตรที่พ่วงประกันเข้ามาด้วยแล้วล่ะก็ มีค่าธรรมเนียมรายปีแน่นอนค่ะ วิธีการที่ดีที่สุดคือเวลาไปเปิดบัญชีให้ตรวจสอบกับ Call-Center ของธนาคารนั้นๆ ก่อนว่ามีบัตร ATM แบบธรรมดาหรือเปล่า แล้วไป  แจ้งที่หน้าเคาเตอร์ว่าต้องการทำบัตร ATM แบบธรรมดาค่ะ

2. ตรวจสอบบัญชีอย่างสม่ำเสมอ

การตรวจสอบบัญชีออมทรัพย์หรือ Book bank ของเราอย่างสม่ำเสมอนั้นช่วยให้เราไม่พลาดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นโดยที่เราไม่รู้ตัว เหตุการที่เกิดขึ้นบ่อยๆ สำหรับคนที่ไม่ค่อยตรวจสอบยอดบัญชีของตัวเองคือ บางครั้งจะพบว่ามีการหักค่าประกันบางอย่างที่เราไม่ได้ตั้งใจสมัคร หรือเผลอไปสมัครโดยไม่รู้ตัว (ก็ตอนง่วงๆ หรือตอนยุ่งๆ แล้วโดนประกันทางโทรศัพท์ชวนทำนั่นแหละ) อาจจะเพียงเดือนละไม่กี่ร้อยบาท แต่ถ้าหลายเดือนเข้ามันก็เป็นเงินหลายพันได้เลยจริงมั้ยคะ ดังนั้นอย่าลืมตรวจสอบบัญชีอย่างสม่ำเสมอนะคะ

3. ใช้กฎ 30 วันสิ ได้ผลสุดๆ

กฎ 30 วันเป็นกฎที่ใช้ได้ผลสุดๆ เวลาที่เราต้องการซื้ออะไรสักอย่าง โดยกฎนี้มีวิธีการแสนจะง่ายดาย คือ เวลาที่เราต้องการของอะไรสักอย่าง อย่าเพิ่งตัดสินใจซื้อในตอนนั้น แต่ปล่อยให้เวลาผ่านไปจนครบ 30 วันแล้วค่อยตัดสินใจอีกครั้งนึง กฏนี้เป็นพื้นฐานทางจิตวิทยาง่ายๆ ที่จะช่วยให้เราซื้อสินค้าที่เราต้องการอย่างแท้จริง ไม่ใช่ซื้อเพราะแรงจูงใจภายนอกแล้วพบว่าเมื่อซื้อมาเราไม่ได้ใช้หรือไม่ต้องการมันเลย

4. ระบุสิ่งที่ต้องการจะซื้อก่อนออกไป Shopping

shopping-list
การลิสต์รายการของที่ต้องการก่อนซื้อนั้นนับว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ประหยัดเงินได้เยอะเลยค่ะ เพราะการที่เรารู้ว่าจะซื้ออะไรบ้าง จะทำให้เราเลือกซื้อเท่าที่จำเป็น และไม่ซื้อของอื่นๆ เกินความจำเป็น ดังนั้นก่อนที่จะไปร้านสะดวกซื้อหรือซุปเปอร์มาร์เก็ตใกล้บ้าน ลองเช็คในตู้เย็น ห้องครัว ของใช้ในบ้านก่อนว่าเราขาดอะไรบ้าง และมีอะไรที่ต้องซื้อ แล้วค่อยไปซื้อค่ะ

5. ซื้อของช่วงต้นเดือนและปลายเดือนสิ

นอกจากวิธีการลิสต์รายการสินค้าจะเป็นเหมือนกฎสำคัญที่ต้องทำแล้ว อีกเคล็ดลับหนึ่งที่หลายคนคาดไม่ถึงเลยก็คือ การซื้อของเข้าบ้านช่วงต้นเดือนหรือปลายเดือนค่ะ เพราะว่าช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตแจกคูปองส่วนลดท้ายบิลเยอะมาก ลดกันตั้งแต่ 10 บาทจนถึง 500 ยังมีเลยค่ะ

6.  ถ้าเลิกใช้บัตรเครดิตไม่ได้ ก็ใช้บัตรเครดิตแบบให้เหลือเงินเก็บ

การใช้บัตรเครดิตก็เป็นเหมือนดาบสองคม ถ้าเราใช้เป็นก็เกิดประโยชน์ แต่ถ้าใช้ผิดเป็นเป็นหนี้จนน้ำตาตกในเหมือนกันค่ะ ลองมาดูวิธีการใช้ประโยชน์จากบัตรเครดิต ที่เราสรุปมาให้ดูกันสั้นๆ ค่ะ
  • เลือกบัตรเครดิตที่ฟรีค่าธรรมเนียมรายปี
  • เลือกบัตรเครดิตประเภท Cash Back (มีเงินคืน)
  • หากใช้บัตรแบบสะสมคะแนน ให้ใช้บัตรชำระสินค้าตามยอดที่เราสามารถจ่ายได้ และจ่ายคืนเต็มจำนวนภายในกำหนดชำระ เพราะจะไม่เสียดอกเบี้ย และได้คะแนนด้วย

7. ความลับของ “วันหมดอายุ” ในอาหาร

จริงๆ แล้ววันหมดอายุบนอาหารนั้นสามารถยืดไปได้อีก 2 วันหากเราแช่อาหารเหล่านั้นไว้ในตู้เย็น โดยวิธีการง่ายๆ ที่จะตรวจสอบว่ามันเสียหรือไม่ก็คือการลองดมกลิ่นดูค่ะ เคล็ดลับเหล่านี้สามารถนำไปใช้ได้ตอนเราเลือกซื้ออาหารตามซุปเปอร์มาร์เก็ต เพราะโดยปกติเวลาอาหารใกล้ถึงวันหมดอายุ อาหารเหล่านั้นจะถูกนำมาลดราคาแบบแทบจะครึ่งต่อครึ่งของราคาเต็มเลยล่ะค่ะ การเลือกซื้อแบบนี้จะช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายและมีเงินเก็บเพิ่มมากขึ้นเยอะเลยค่ะ

8. อ่านมากขึ้น

เชื่อมั้ยคะว่าแค่เราอ่านมากขึ้น เราก็มีเงินเก็บมากขึ้นได้  เพราะการอ่านมากขึ้นทำให้เราเรียนรู้ได้มากขึ้นตามไปด้วย แค่เราลองหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตหรือแม้แต่ห้องสมุดสาธารณะ การอ่านจะช่วยให้เราค้นพบวิธีการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการซ่อมแซมสิ่งของ หรือส่วนลดพิเศษต่างๆ ที่น่าสนใจ กิจกรรมฟรีที่จะช่วยเสริมทักษะ หรือสร้างอาชีพให้เรา หรือแม้แต่ตอนที่คุณกำลังอ่านบทความนี้ เราก็เชื่อว่าคุณต้องได้ไอเดียดีดีไปใช้อย่างแน่นอนเลยใช่มั้ยคะ

9. หากคุณใช้รถยนต์ อย่าลืมตรวจวัดลมยางอย่างสม่ำเสมอ

อย่าลืมที่จะเติมลมยางให้ได้ตามกำหนดมาตรฐาน ทั้งล้อหน้าและล้อหลังเลยนะคะ เพราะถ้าลมยางอ่อนเกินไปจะทำให้หน้ายางมีความเสียดสีมาก ซึ่งเป็นสาเหตุให้รถยนต์ของเราสิ้นเปลืองน้ำมันมากค่ะ

10. จัดการหนี้ที่มีอยู่

การมีหนี้เรียกได้ว่าเป็นอุปสรรคสำคัญของการมีเงินเก็บเลยล่ะค่ะ วิธีการง่ายๆ ในการปลดหนี้ที่ใครใครหลายคนใช้แล้วได้ผลก็คือ หากคุณมีหนี้กับหลายธนาคาร หลายสินเชื่อ ต้องรีบปิดหนี้ที่ดอกเบี้ยสูงสุดให้หมดก่อนเป็นอันดับแรก และอย่าลืมที่จะติดต่อธนาคารเพื่อขอส่วนลดพิเศษในการปิดยอดหนี้ด้วยนะคะ  เพราะในความจริงแล้วธนาคารหรือสถาบันการเงินต่างๆ จะมีส่วนลดพิเศษสำหรับการปิดยอดหนี้และสามารถ Waive ค่าธรรมเนียมบางอย่างได้ด้วยค่ะ

you_can_do

และนี่คือ 10 ไอเดียเจ๋งๆ ที่จะช่วยให้มีเงินเหลือเก็บได้เยอะขึ้นมากเลยล่ะค่ะ ลองไปเช็คกันดูนะคะว่ามีข้อไหนที่ยังไม่เคยลองทำ หรือข้อไหนที่ทำเป็นประจำอยู่แล้ว พยายามทำให้ได้แบบนี้อย่างสม่ำเสมอและทำให้เป็นนิสัย รับรองได้เลยว่าวิกฤตเดือนชนเดือนและปัญหาไม่มีเงินเก็บยามฉุกเฉินจะต้องหายไปจากตัวคุณอย่างแน่นอน
สำหรับใครที่สนใจความรู้ใหม่ ไอเดียในการทำธุรกิจ การสร้างอาชีพ การตลาดออนไลน์ การพัฒนาตัวเอง ที่จะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จสามารถแนะนำหัวข้อที่อยากรู้เข้ามาได้โดยการ comment ไว้ด้านล่างนี้ หรือในช่องทางโซเชียลมีเดียของเรา ไม่ว่าจะเป็นที่ แฟนเพจตลาดปัญญา  หรือลงทะเบียนสมัครสมาชิกเว็บไซต์ (ฟรี) >>คลิก!สมัครสมาชิก<<

แล้วพบกันใหม่ ในบทความหน้านะคะ
ขอขอบคุณบทความจาก

วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2559

ข้อคิดดีดีในการทำงาน


1. แผนการเกษียณอายุเป็นการป้องกันชีวิตตัวเองตกต่ำไม่ให้ตกถึงขีดสุด
การวางแผนชีวิตตัวเองเรื่องการเกษียณคล้ายๆ กับการทำประกันชีวิต ถ้าวันหนึ่งคุณไม่อยู่ในสภาพที่จะทำงานได้อีกต่อไปคุณจะทำยังไง คุณจะเอาเงินที่ไหนมาเลี้ยงตัวในวันที่คุณทำงานไม่ได้ คนส่วนใหญ่ทำงานทั้งชีวิต พอตอนเกษียณก็ต้องทนใช้ชีวิตกินอาหารถูกๆเพราะเดี๋ยวเงินหมด แถมเงินเฟ้อก็ยังทำให้ค่าเงินของคุณลดมูลค่าไปราวๆ 2-4% ต่อปี สุดท้ายถ้าคุณเงินหมดในวัยเกษียณ คุณก็ต้องหางานทำหรือไม่ก็ต้องสร้างธุรกิจใหม่อยู่ดี แล้วการเกษียณมันจะต่างอะไรจากตอนที่ไม่เกษียณ
2. ดอกเบี้ยและสภาพร่างกายเปลี่ยนไปได้ตามกาลเวลา
การทำอะไรซ้ำๆกันวันละ 8 ชั่วโมงเพื่อล้มพับหรือรอเสพสุขตอนแก่เป็นเรื่องที่ไม่ฉลาดเป็นอย่างยิ่ง เพื่อนๆผมหลายคนหน้าตาเหี่ยวย่นทั้งๆที่อายุยังน้อยเพราะทำงานกองมหึมาและอด นอน งานกับการพักผ่อนเป็นเรื่องสำคัญ แต่ในชีวิตหนึ่งถ้าเทียบเป็นเปอร์เซ็นคุณพักผ่อนถึง 1 ใน 10 ของการทำงานหรือเปล่า เราไม่ควรทำงานหนักเพื่อสะสมความสุขยามเกษียณหรอก แถมประสิทธิภาพของคุณก็ขึ้นๆลงๆ คุณควรพักผ่อนและทำงานเฉพาะตอนที่คุณกำลังมีประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อสร้างผล ออกดอกและมีความสุขยิ่งกว่า
3. ทำน้อยไม่ได้แปลว่าขี้เกียจ
การทำงานเยอะแต่ส่วนใหญ่เป็นงานที่ไร้คุณภาพเป็นที่ยอมรับมากกว่าคนที่ทำงาน น้อยแต่มีประสิทธิภาพ บางคนเอาคุณภาพงานมาวัดด้วยเวลา ยิ่งนานแสดงว่ายิ่งขยัน การทำน้อยหลายๆครั้งสามารถสร้างผลงานได้มากกว่าการทำเยอะๆด้วยซ้ำ เศรษฐีมิติใหม่แม้จะทำงานในออฟฟิตน้อยกว่า แต่สามารถสร้างคุณค่าได้มากกว่าคนที่ทำงานเยอะ 10 คน เน้นทำตัวให้มีประสิทธิภาพ ไม่ใช่ทำตัวให้ยุ่ง
4. จังหวะที่ดีที่สุดไม่มีในโลก
ถ้าคุณอยากทำอะไรก็ลงมือเลย ติดขัดอะไรก็แก้ไขระหว่างทาง อย่ารอให้วันดีๆมาหาคุณโดยที่คุณไม่ได้ทำอะไร โลกไม่ได้กลั่นแกล้งคุณแต่ก็ไม่ได้เอาความสำเร็จใส่พานมาให้คุณด้วย การรอโอกาสและใช้คำว่า “ซักวันหนึ่ง” มันจะทำให้คุณเอาความฝันลงหลุมไปพร้อมกับคุณ
5. ทำไปก่อนค่อยมาขอโทษทีหลัง
ถ้าคุณลงมือทำตามใจที่คุณอยากทำแล้วไม่มีคนอื่นเดือดร้อน ไม่มีใครที่จะต้องเจ็บตัวจากการตัดสินใจของคุณ ทำไปเลย ไม่ต้องขออนุญาติใคร อย่ารอให้วันเวลาผ่านไปโดยไม่ลงมือทำ อย่าให้ใครมาห้ามคุณได้ คนส่วนใหญ่จะห้ามคุณไม่ให้คุณเร่งเครื่อง ถ้าคุณมั่นใจ คุณก็ไม่ควรหยุด ไว้เครื่องพังเมื่อไหร่ก็ค่อยขอโทษก็ได้
6. เน้นเพิ่มจุดแข็ง ไม่ต้องสนใจจุดอ่อน
คนส่วนใหญ่เก่งอยู่ไม่กี่ด้าน นอกนั้นห่วยหมด หลายคนเก่งคิดและทำไม่ได้เรื่อง ถ้ามันยุ่งยากนักก็จ้างคนอื่นทำให้แทนเลยสิ การเน้นจุดแข็งมีประโยชน์มากกว่าอุดรูรั่ว เน้นใช้อาวุธไม้ตายดีกว่าทำอะไรที่ไม่ถนัดครึ่งๆกลางๆ
7. อะไรที่มากเกินไปมักกลายเป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม
ของดีๆ ถ้ามีมากเกินไปก็จะไม่ดี โดยเฉพาะเรื่องของวัตถุกับเวลา เยอะไป มากไป หรือบ่อยไปก็ไม่ดี เพราะมันจะกลายเป็นพิษร้ายสำหรับคุณ บางคนทำงานหนักเพื่อซื้อสิ่งที่มันไม่จำเป็นต่อชีวิตเขา เป็นหนี้หัวโต กลายเป็นชีวิตต้องทำงานเพื่อวัตถุ เครียดว่าจะหาเงินมาผ่อนเดือนชนเดือนทันหรือเปล่า
8. เงินเพียงอย่างเดียวไม่ใช่ทางออก
คำว่า “ถ้ามีเงินเยอะกว่านี้” เป็นคำพูดของคนที่ชอบผลัดผ่อน เป็นการเลื่อนการตัดสินใจทำสิ่งสำคัญๆต่อชีวิตไปในภายภาคหน้า หลายๆเรื่องมันเป็นเรื่องที่ต้องลงมือทำเดี๋ยวนี้ แต่การใช้คำนี้ทำให้เหตุผลที่จะไม่ลงมือทำดูสวยงามทันที การพยายามทำอะไรซ้ำไปซ้ำมา ทำชีวิตให้ยุ่งเข้าไว้แล้วโกหกตัวเองว่าทั้งหมดทำเพื่ออนาคตเป็นเรื่องที่ ไม่เข้าท่า เป็นภาพลวงตา หลอกตัวเองสิ้นดี มันเป็นเกมส์ที่ทำให้เราไม่ต้องคิดเรื่องยากๆ ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่เรื่องเงิน แต่อยู่ที่คุณ
9. คิดถึงรายได้ที่เพียงพอทำให้คุณบรรลุเป้าหมาย
เศรษฐีมิติใหม่ไม่ได้สนใจเงินก้อนโต แต่เขาสนใจรายได้ที่จะทำให้เขาบรรลุเป้าหมายด้วยเวลาทำงานที่น้อยที่สุด และที่สำคัญเขาสนใจคุณภาพของรายได้มากกว่าปริมาณ อย่างเช่นนาย ก ทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวัน ได้เงิน 50,000 ต่อเดือน กับนาย ข ได้เงิน 25,000 ต่อเดือน แต่ทำงานวันละชั่วโมง กรณีอย่างนี้ถือว่านาย ข รวยกว่า เพราะถ้าเอาเวลาที่ใช้ไปมาหารกับรายได้น้อยกว่า นาย ข จะมีเวลาทำเงินและทำอย่างอื่นเพื่อบรรลุเป้าหมายตัวเองด้วย
10 ความเครียดคือยาเสริมและยาพิษ
คนที่หลีกหนีคำตำหนิทั้งหมดจะเป็นคนที่ไม่มีวันประสบความสำเร็จในชีวิต หลายๆครั้งถ้าไม่มีแรงกดดันชีวิตก็ไม่ก้าวหน้า ยิ่งเราสามารถสร้างความเครียดที่ดีเพื่อส่งเสริมชีวิตตัวเองได้มากเท่าไหร่ เรายิ่งมีโอกาสที่ชีวิตจะเติบโตและไปถึงฝั่งฝันได้มากขึ้นเท่านั้น อย่าพยายามหนีความเครียดด้วยการไม่ทำอะไรเลย ถ้าคุณแยกความเครียดที่ดีและเอามาใช้ประโยชน์ได้ ชีวิตคุณจะก้าวไปข้างหน้าเยอะเลย

ขอบคุณบทความจาก
(Tim Ferrise  ผู้เขียน The 4 Hour work week )
http://www.bejame.com/article/2761

วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2559

มาเลียนแบบ 10 ทักษะสำคัญของนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จกัน

ผู้นำทางธุรกิจที่ประสบสำเร็จ มักเป็นที่ยอมรับจากคนส่วนใหญ่..ว่าพวกเขาคือคนที่มีประสิทธิภาพ

พวกเขาเป็นนักตัดสินใจ นักลงมือ

แล้วอะไรกันล่ะที่จะทำให้เรากลายเป็นคนที่มีประสิทธิภาพแบบพวกเขา
ลองมาเรียนรู้ ‘การบริหารจัดการและทักษะทางธุรกิจ’ ของนักธุรกิจมืออาชีพที่เราสามารถนำมาปรับใช้และปฏิบัติตาม เพื่อให้เราสามารถเป็นได้อย่างพวกเขา

show_bFJFevRLn__FyCE9yoGM1r60IaF3EuIKbnxSZkJzYv8

1. จัดลำดับความสำคัญ

นักธุรกิจและผู้บริหารเก่งๆ มักจะมีการจัดลำดับงานว่าอะไรควรทำก่อน และอะไรควรทำที่หลัง คุณต้องมองให้ออกว่า “อะไรสำคัญ/ไม่สำคัญ” และอะไร “เร่งด่วน/ไม่เร่งด่วน” การจัดลำดับงานจะทำให้ได้งานที่มีคุณภาพ และทำงานเสร็จตามเวลาที่ต้องการ ทำตามลำดับนี้ค่ะ
  • สำคัญและเร่งด่วน
  • ไม่สำคัญแต่เร่งด่วน
  • สำคัญแต่ไม่เร่งด่วน
  • ไม่สำคัญและไม่เร่งด่วน (ถ้ามีสิ่งต้องทำเยอะๆ ลำดับนี้อาจไม่ได้ทำเลยก็ได้)

2. บริหารเวลาให้เป็น

ทุกคนมีเวลาวันละ 24 ชั่วโมงเท่ากัน อยู่ที่ว่าจะเอาเวลาไปทำอะไร
เริ่มต้นทันที อย่ารีรอ
ทางเลือกระหว่าง “ทำเลยโดยไม่รีรอ” กับ “เดี๋ยวค่อยทำทีหลัง” เป็นสิ่งที่แยกระหว่างคนที่ประสบความสำเร็จกับคนที่ไม่
นักธุรกิจประสบความสำเร็จจะใช้ตารางเวลาหรือการบันทึกเป็นเครื่องมือช่วยให้สามารถทำงานต่างๆ ให้เสร็จสิ้นในแต่ละวัน พวกเขาจะทำงานให้เสร็จสิ้นแล้วตามตารางงานที่ได้วางไว้แล้ว และเมื่อทำเสร็จพวกเขาจะให้รางวัลตัวเองด้วยการพักผ่อนเป็นระยะเวลาสั้นๆ เพื่อคลายเครียด และพร้อมที่จะใช้ความคิดเพื่อริเริ่มลงมือทำงานใหม่ๆ

3. รู้ว่าเมื่อไหร่ควรจะ “ตอบรับ” เมื่อไหร่ควรจะ “ปฏิเสธ”

อะไรคือเหตุผลที่ทำให้ผู้คนเลือกที่จะ “ตอบรับ” แทนที่จะ “ปฏิเสธ” ทั้งๆที่ในใจของพวกเขาอยากจะปฏิเสธ
เหตุผลก็คือ กลัวที่จะเสียโอกาส หรือในอีกกรณีหนึ่งคือ บางคนไม่อยากเสียมารยาทหรือทำให้ผู้อื่นรู้สึกแย่กับการถูกปฏิเสธ สุดท้ายก็เอางานมารับผิดชอบเสียเอง แต่จริงๆ มันขึ้นอยู่กับคุณเอง
ลองมาคิดดู ทุกคนต่างก็มีความปรารถนาและรู้ว่าอะไรสำคัญมากหรือสำคัญน้อยสำหรับตัวเรา มันไม่ใช่สิ่งที่เลวร้าย ถ้าคุณจะพูดว่า “ไม่” กับสิ่งที่คุณไม่ต้องการที่จะทำ หรือไม่สนใจที่จะทำ ตราบใดก็ตามที่สิ่งนั้นไม่ได้เป็นอันตรายต่อผู้อื่น

4. มีเป้าหมายอยู่ในใจ

นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจะมีภาพที่ชัดเจนของเป้าหมายที่พวกเขาต้องการ พวกเขาปรารถนาที่จะประสบความสำเร็จ โดยวางเป็นเป้าหมายที่ต้องสำเร็จต่อวัน ต่อสัปดาห์ และต่อปี มันช่วยให้พวกเขามองข้ามความกังวล และพวกเขาจะมีความเชื่อมั่นในตนเองว่าสามารถทำได้
กลยุทธ์ที่ ‘มีประสิทธิภาพและถูกเวลา’ สามารถนำไปสู่การประสบความสำเร็จและบรรลุเป้าหมาย ไม่มีอะไรจะเกิดขึ้นถ้าคุณมัวแต่รอคอย แต่มันจะเกิดขึ้นเมื่อคุณลงมือทำ

5. เรียนรู้อยู่เสมอ และแสวงหาวิธีการใหม่ๆ

ความรู้สามารถหาได้ทุกที่ มันไม่จำเป็นเสมอไปที่จะต้องเรียนรู้จากแค่ในห้องเรียน นักธุรกิจเก่งๆ มักรู้ดีว่า ความรู้อีกอย่างที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กันคือ ความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ พวกเขามักจะมองหากิจกรรมยามว่างที่ช่วยให้พวกเขาได้เรียนรู้ในทุกๆ วัน และชอบค้นหาอะไรก็ตามที่จะเปิดโลกทัศน์และมุมมองใหม่ๆ ให้กับพวกเขาเสมอ

6. จัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ

ในแง่ของธุรกิจ การจัดสรรทรัพยากร คือ การกำหนดงานที่เหมาะสมและบริหารทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพและประโยชน์สูงสุดต่อองค์กร
นักธุรกิจที่ดีจะรู้ว่า พวกเขาจะจัดสรรเวลาอย่างไรเพื่อให้งานเสร็จภายในกำหนด และมีพลังมากพอในการทำงานให้บรรลุเป้าหมายในทุกๆ วัน พวกเขาจะรู้ว่าลูกน้องคนไหนมีจุดดีจุดด้อยอย่างไร และเลือกใช้งานอย่างชาญฉลาด
สรุปก็คือพวกเขาเรียนรู้ที่จะเห็นคุณค่าของสิ่งที่มีในปัจจุบัน และสร้างสิ่งที่ยอดเยี่ยมจากสิ่งที่พวกเขามี

7. เลือกใช้เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ

เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของคุณ ยกตัวอย่างเช่น สมาร์ทโฟนดีดีสักเครื่อง สมาร์โฟนที่มีประสิทธิภาพและใช้งานได้หลากหลาย รองรับแอพพลิเคชั่นต่างๆ ย่อมมีประสิทธิภาพกว่าโทรศัพท์ธรรมดาที่โทรออกได้เพียงอย่างเดียว เพราะการสื่อสารในปัจจุบันมีมากมาย หลากหลายรูปแบบ ดังนั้นการเลือกใช้เครื่องมีที่มีประสิทธิภาพ ย่อมส่งผลให้การทำงานของเรามีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย

8. อยู่กับปัจจุบัน

นักธุรกิจที่มีประสิทธิภาพจะไม่มัวแต่กังวลและคิดถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง พวกเขาจะให้ความสำคัญกับปัจจุบัน และตั้งใจทำมันให้ดีที่สุด แทนที่จะกังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง และนำมาบั่นทอนจิตใจตัวเอง
ตราบใดที่เป้าหมายชัด แผนงานดี บุคคลากรยอดเยี่ยม ปัญหาตรงหน้าจะเป็นเพียงอุปสรรคท้าทายที่ไม่เคยทำให้เขาเปลี่ยนแปลงเส้นทางเดิน

9. มีความสามารถในการจัดการกับสิ่งไม่คาดคิด

เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลา และกับทุกคน นักธุรกิจที่ดีจะเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่เลวร้ายที่สุด และเตรียมวิธีการที่สามารถจัดการกับมันได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
พูดง่ายๆ คือ พวกเขามี Plan B เสมอ

10. ฝึกจับประเด็นให้เก่ง

นักธุรกิจที่ดีจะเป็นนักจับประเด็นที่ดี พวกเขาจะรู้ว่าควรจะเอาอะไรไว้ตรงไหน ชอบอ่านหนังสือพิมพ์ และรักการจดบันทึกเรื่องราวต่างๆ พวกเขามักจะยุ่งอยู่กับการติดตามข่าวสารใหม่ๆ เพราะชอบที่จะเก็บข้อมูลและเรื่องราวต่างๆ มาไว้ในคลังความคิดของพวกเขาเสมอ
การพูดคุยเจรจาของเขาจะไม่เยิ่นเย้อ พูดตรงประเด็น ฟังไม่หลุดประเด็น และยังสามารถดึงบทสนทนาให้เข้ามาอยู่ในร่องรอยที่ต้องการได้อีกด้วย
ท่านผู้อ่านทำได้กี่ข้อแล้วคะ อย่าลืมคอมเมนต์บอกด้านล่างกันนะคะ  ว่าเราเข้าใกล้ความสำเร็จแค่ไหนแล้ว?

ขอขอบคุณบทความจาก เว็บไซต์ตลาดปัญญา