วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

HR ยุคนี้ต้องเป็นอย่างไร

 หลาย ๆ คนน่าจะมีคำตอบอยู่ในใจไปในทิศทางเดียวกัน งาน HR คือแผนกที่ดูแลเกี่ยวกับเรื่องพนักงานของบริษัท รับพนักงานเข้า ดูแลพนักงานที่อยู่ ทำเรื่องให้คนออก ดูแลสวัสดิการและความเป็นอยู่ของพนักงานทุกคน ภาพต่าง ๆ เหล่านั้นอาจจะเป็นภาพที่ HR สร้างให้ตัวเองมาโดยตลอด แต่ในวันนี้ HR ยังควรรักษาเพียงภาพนี้เอาไว้อย่างเหนียวแน่นหรือไม่ ด้วยสภาพเศรษฐกิจ สังคมที่ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงพนักงานที่เริ่มเปลี่ยนจากรุ่นสู่รุ่น และเทคโนโลยีที่เข้ามาทำให้รูปแบบของการทำงานต่างไปจากเดิม หาก HR  ยังคงอยู่เฉย ๆ โดยไม่ปรับตัว อาจส่งผลต่อการพัฒนาศักยภาพขององค์กรโดยรวมได้อย่างไม่คาดคิด
HR ต้องรู้ธุรกิจของบริษัท
          ทุกบริษัทต่างก็ต้องการผลกำไรที่เพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งนั่นย่อมเป็นผลมาจากประสิทธิภาพการทำงานที่ดีขึ้นของพนักงานทุกคน HR มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในจุดนี้เพราะเป็นผู้รับผิดชอบในการคัดเลือกพนักงานและบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลโดยตรง หากคุณไม่รู้เลยว่าธุรกิจของบริษัทเป็นอย่างไร คุณก็เพียงแต่จะรับฟังความต้องการของแผนกต่าง ๆ และจัดหาคนหรือดำเนินงานไปตามนั้นแบบไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง จะดีกว่าหรือไม่ หาก HR สามารถทำการวิเคราะห์และแนะนำได้ว่า จากรูปแบบธุรกิจและสิ่งที่พวกเขาต้องการนั้น คุณสามารถนำเสนออะไรให้ได้บ้าง HR ไม่ควรเป็นแค่ฝ่ายบุคคลที่ดูแลแต่งานเอกสารอีกต่อไป แต่ควรวางตัวเป็นเหมือนหนึ่งในผู้ร่วมธุรกิจ (strategic partner) ที่มีหน้าที่รับผิดชอบต่อผลประกอบการของบริษัทเช่นกัน ต่างไปก็เพียงคุณบริหารผ่านทางบุคคลและการวางแผนพัฒนาพวกเขาเหล่านั้น ทุกคนในบริษัทคือลูกค้าและผู้ร่วมธุรกิจที่คุณต้องดูแลเป็นอย่างดี
HR ต้องคิดนอกกรอบบ้าง
          เมื่อโลกเปลี่ยน พนักงานที่ทำงานเปลี่ยนรุ่น รูปแบบของงานก็เปลี่ยน ดังนั้น HR เองก็ควรจะเริ่มมองหาสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพขององค์กรให้ก้าวผ่านความเปลี่ยนแปลงนี้ไปได้อย่างราบรื่น จะเพิ่มเติมแผนสวัสดิการหรือสิ่งอำนวยความสะดวกใด ๆ ที่เหมาะสมกับพนักงานหมู่มากของบริษัทในตอนนี้ได้บ้าง ดูตัวอย่างจากบริษัทชั้นนำของโลก ไม่ว่าจะเป็นการจัดที่ทำงานให้มีพื้นที่สำหรับเล่นและพักผ่อน มีขนมและของขบเคี้ยวให้ฟรีเพื่อเอื้ออำนวยต่อความคิดสร้างสรรค์ของพนักงาน หรือมีนโยบายการรับพนักงานโดยดูจากความสามารถเป็นหลัก ไม่ใช่ใบปริญญา บริษัทต่าง ๆ เริ่มมีนโยบายการทำงานที่ยืดหยุ่นขึ้น เพิ่มสวัสดิการพิเศษดูแลกลุ่มพนักงานที่มีคุณภาพแต่มีอัตราการลาออกสูงยกตัวอย่างเช่นกลุ่มคุณแม่ ก็มีบริษัทหนึ่งในไทยเองได้เตรียมเพิ่มสวัสดิการลาคลอด 6 เดือนโดยยังจ่ายค่าจ้างในอัตราปกติซึ่งจะเริ่มต้นในปี 2559 รูปแบบเหล่านี้กำลังได้รับความสนใจในแวดวง HR ทั้งไทยและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมีผลวิจัยและบทความต่าง ๆ ออกมามากมายในระยะหลังนี้ว่าปัจจัยสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานคือสภาพจิตใจที่มีความสุขของพนักงาน  อย่าลืมว่าประชากรกลุ่มที่รักการทำงานเป็นชีวิตจิตใจอย่าง Baby boomer กำลังค่อย ๆ ทยอยเกษียณอายุออกไป พนักงานรุ่นใหม่อย่าง Gen X และ Gen Yที่กำลังขยายตัวขึ้นมาเป็นประชากรหลักในบริษัทต่างก็ให้ความสำคัญในเรื่องความสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัวเป็นอย่างมาก ดังนั้น HR เองควรมีการเก็บข้อมูล สถิติต่าง ๆ เพื่อใช้วิเคราะห์ วางแผนและปรับปรุงนโยบายอย่างต่อเนื่องและสร้างสรรค์เพื่อให้สามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้อย่างทันท่วงที
HR ต้องทันเหตุการณ์บ้านเมือง
          จริงอยู่ว่า HR เป็นงานที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลภายในบริษัท แต่ถ้า HR ปิดหูปิดตา ไม่ลองมองโลกภายนอกบ้างว่ามีอะไรใหม่เกิดขึ้นในสังคมหรือในแง่เศรษฐกิจแล้ว ก็อาจทำให้บริษัทพลาดอะไรหลาย ๆ อย่างได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่นเรื่อง ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC ที่ฟังดูเหมือนจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับ HR มากนัก แต่กลับสามารถส่งผลต่อเรื่องแรงงานได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแนวโน้มการโยกย้ายของแรงงานฝีมือดีที่เป็นที่ต้องการในตลาดอาเซียน HR เองอาจจะต้องกลับมามองโครงสร้างสวัสดิการและผลตอบแทนของบริษัทบ้างว่ายังมีความสามารถที่จะแข่งขันกับทั้งตลาดภายในประเทศรวมถึงตลาดแรงงานอาเซียนอยู่หรือไม่ หรืออาจจะต้องมีการเตรียมนโยบายเพื่อรับมือความหลากหลายทางเชื้อชาติของแรงงานที่กำลังจะเพิ่มขึ้นเอาไว้บ้าง
HR ต้องเพิ่มคุณค่าในตัวเอง
HR ยุคใหม่ปรับตัว          
สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด อย่าลืมว่าพนักงาน HR เองก็เป็นหนึ่งในบุคคลที่คุณต้องดูแล หากผู้บริหาร HR  มุ่งมั่นที่จะดูแลคนทั้งองค์กรแต่ลืมพัฒนาบุคคลากรของตัวเองแล้วเป้าหมายก็คงจะไม่สำเร็จได้โดยง่าย พนักงาน HR ต้องได้รับการพัฒนาไม่ต่างจากพนักงานคนอื่น ๆ เช่นกัน และควรจะต้องได้รับการดูแลก่อนเป็นอันดับแรกเสียด้วย ยิ่งคน HR มีความสามารถมากเท่าไร ก็จะยิ่งสามารถดูแลและพัฒนาต่อยอดพนักงานคนอื่น ๆ ได้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น นอกจากที่จะต้องเพิ่มความรู้ด้านธุรกิจของบริษัทให้ตัวเองแล้ว พนักงาน HR ต้องไม่ทิ้งความรู้เรื่องงานบริหารทรัพยากรบุคคล และควรเสริมสร้างทักษะด้านต่าง ๆ เพื่อช่วยเพิ่มความน่าสนใจ ความน่าเชื่อถือแก่ตนเองให้มากขึ้นอีกด้วย
          แท้จริงแล้ว หน้าที่หลักของ HR ในยุคนี้ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปนัก แต่สิ่งที่ควรจะต้องเปลี่ยนแปลงคือทัศนคติในการทำงานที่มี แทนที่จะรอเป็นฝ่ายรับและตอบสนองไปตามข้อมูลจากแผนกอื่น ๆ HR ในวันนี้ควรดำเนินการในเชิงรุกให้มากขึ้น ทั้งการพัฒนาตัวเอง ทั้งการศึกษา เก็บข้อมูล ทำการวิเคราะห์และนำเสนอแก่ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง จริงอยู่ สิ่งที่เราเคยทำกันมาในอดีตอาจเคยให้ผลลัพธ์ที่ดีมาโดยตลอด แต่ในวันนี้ปัจจัยต่าง ๆเปลี่ยนแปลงไปแล้วไม่น้อย ดังนั้น HR  จึงมีหน้าที่ต้องเพิ่มทางเลือกให้องค์กรด้วยการพัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดยั้งเช่นกันค่ะ

แหล่งที่มาบทความ : http://th.jobsdb.com/


วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

หัวหน้างานยุคใหม่ ใครๆก็ใช้โค้ช


         
          พูดถึงคำว่าโค้ช หลายๆท่านคงนึกถึงการเล่นกีฬาต่างๆ ที่จะต้องมีโค้ช ไม่ว่าจะเป็นการเล่นกีฬาประเภทเดี่ยวหรือทีม โดยเป้าหมายของโค้ชนั้นก็คือการทำให้ผู้เล่นหรือทีมได้รับชัยชนะ โดยที่ผู้เป็นโค้ชจะเป็นผู้วางตัวผู้เล่น กำหนดกลยุทธ์ที่จะใช้ ช่วยกระตุ้นผู้เล่นเกิดความฮึกเหิม กระตือรือร้น รสมถึงโค้ชจะต้องทำให้ผู้เล่นหรือทีมมองเห็นเป้าหมายเดียวกัน โค้ชนี้ถือว่าเป็นบุคคลที่ผู้เล่นหรือทีมให้ความเคารพ เชื่อมั่น และสามารถทำตามคำแนะนำนั้นด้วยความเต็มใจ 100%

ก่อนอื่นต้องขอชี้แจงให้เข้าใจก่อนว่า
  • คนที่มีบทบาทเป็นหัวหน้า ไม่ใช่ว่าทุกคนจะกลายเป้นโค้ชโดยธรรมชาติ
  • การเป็นโค้ช ไม่ใช่ว่าต้องเน้น “การออกคำสั่ง” ให้ทำ แต่โค้ชจะต้อง “สอน” ให้ทำด้วย
  • โค้ช ไม่ไช่ เทรนเนอร์ ที่สอนครั้งเดียวจบ การเป็นโค้ชมันมากกว่านั้น

สำหรับผมจึงมองว่า โค้ช คือ ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นทั้ง ผู้ฝึกสอน ผู้ชี้แนะ ผู้สนับสนุน ผู้ช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้กับทีม โดยโค้ชนั้นจะต้องรู้และเข้าใจทีมงานอย่างลึกซึ้ง รู้ว่าจุดแข็ง จุดอ่อนแต่ละคนคืออะไร เข้าใจพฤติกรรมของแต่ละคน และสามารถหาจุดร่วมได้อย่างเหมาะสม โดยทักษะที่สำคัญคือ ทักษะการสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ การสื่อสารเป็นสิ่งที่สำคัญมากเพราะการสื่อสารข้อมูลต่างๆให้ทีมงานจะต้องตรงกัน หรือที่เรียกว่า one direction นั่นเอง

2C ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง (Command & Communication)
           หัวหน้างานส่วนใหญ่มักจะใช้การออกคำสั่งหรือ Command ในการทำงาน เพื่อให้ได้ผลลัพท์หรือบรรลุตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ การใช้การออกคำสั่งนั้น เป็นวิธีการที่ไม่ได้สนใจว่าทีมหรือผู้ร่วมงานจะรู้สึกอย่างไร ทีมหรือผู้ร่วมงานไม่รู้สึกผูกพันกัน มีเฉพาะเรื่องงานเท่านั้น
           หากหัวหน้างานใช้การสื่อสารหรือ Communication ในการทำให้ทีมเข้าใจเป้าหมาย รู้ว่าแต่ละคนต้องทำอะไร ทำให้ทุกคนเห็นความสำคัญของตนเอง ทีมหรือผู้ร่วมงานจะมีความผูกพันกันมากขึ้น การทำงานเป็นทีมจะเกิดขึ้น

จากที่ผมได้กล่าวมา จะเห็นว่า การใช้ 2C นั้นจะให้ผลลัพท์ที่แตกต่างกัน ความแตกต่างระหว่าง 2C นั่นก็คือ ทั้ง Command และ Communication ต่างส่งผลให้งานสำเร็จเหมือนๆกัน แต่ถ้าใช้ Command หรือคำสั่ง จะเป็นการเสร็จแบบปราศจากความสุข จะมีประโยชน์อะไร
โค้ชที่ดี ต้องเป็นคนแบบไหน?
คำถามนี้ ก็มีผู้สนใจสอบถามมามากนะครับ ผมขอตอบแบบง่ายว่า คนที่จะเป็นโค้ชที่ดีจะต้อง
  1. ต้องชอบเรื่อง คน (ชอบพัฒนาคน ชอบเรียนรู้   รู้จักคนอื่น)
  2. ชอบการสื่อสาร ชอบคุย (ในที่นี้เป็นการคุยแบบมีสาระนะครับ)
  3. มีจริยธรรม ไว้ใจได้  (แน่นอนครับ ต้องแสดงความจริงใจว่าเรื่องที่คุยจะเป็นความลับเท่านั้น ไม่เปิดเผย หรือเอาไปเม้าต่อแน่นอน)
  4. มีความสามารถในการพูดชักจูง โน้มน้าว กระตุ้น ให้ผู้ฟังคล้อยตาม เกิดความคิดใหม่ๆ
ทักษะสำคัญๆที่ โค้ช ต้องมี
  1. การตั้งคำถาม (Questioning)
  2. การฟังอย่างตั้งใจ (Listening)
  3. การให้ข้อมูลป้อนกลับอย่างสร้างสรรค์ (Creative Feedback)
  4. การจูงใจและการกระตุ้น (Motivation)
  5. การกำหนดเป้าหมายร่วมกัน (Goal Setting)

Good Questioning ทักษะการตั้งคำถามที่ดี
เป็นทักษะที่โค้ชควรมีและพัฒนาเป็นอย่างยิ่ง เพราะการตั้งตำถาม เป็นกระบวนการที่มีความสำคัญอย่างมากในการโค้ช การตั้งคำถามที่ดีจะทำให้ ผู้ถูกโค้ช (โค้ชชี่) เกิดกระบวนการคิด พิจารณา อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นให้ผู้ถูกโค้ช เกิดความอยากที่จะเปลี่ยนแปลง และการตั้งคำถามที่ดี ยังทำให้ผู้ถูกโค้ช คิดหาคำตอบได้ด้วยตนเองอีกด้วย ซึ่งเทคนิคการใช้คำถามที่ดี และถูกต้องก็จะช่วยให้ผู้ถูกโค้ชเกิดการพัฒนาตัวเองได้ดียิ่งขึ้น
Deep Listening การฟังอย่างตั้งใจ
ทักษะการฟังนั้น โค้ช จะต้องรับฟัง โค้ชชี่ พูดคุยหรือเล่าให้ฟังโดยไม่มีการพูดแทรก หรือแสดงความคิดเห็นใดๆ จนกว่าจะแน่ใจว่าโค้ชชี่พูดจบแล้ว จึงค่อยพูดและควรหลีกเลี่ยงที่จะให้แนวความคิดในทันที แต่ใช้คำถามเพิ่มเติมจนแน่ใจว่าโค้ชชี่อยากได้แนวคามคิดของโค้ช จึงจะให้มุมมองแต่ก็ต้องย้ำว่า โค้ชชี่ต้องเป็นผู้คิดว่าจะนำไปใช้หรือไม่ ด้วยตัวโค้ชชี่เอง การแสดงความสนใจฟัง จะทำให้โค้ชชี่รู้สึกผ่อนคลายที่ได้พูดคุยกับโค้ชมากขึ้น และฟังให้เข้าใจความรู้สึกของโค้ชชี่เป็นหลัก ไม่ควรใช้ความคิดของตัวเองระหว่างการฟังโค้ชชี่พูด
Creative Feedback การให้ข้อมูลป้อนกลับอย่างสร้างสรรค์
การให้ความคิดเห็นป้อนกลับในเรื่องต่างๆ ควรใช้ภาษาหรือแนวคิดที่เป็นเชิงบวก ไม่ใช่การตำหนิ หรือแสดงตัวเหนือโค้ชชี่ แต่เป็นการให้มุมมองและแนวความคิดที่เป็นประโยชน์เพื่อให้โค้ชชี่ สนใจและอยากนำไปประยุกต์ใช้กับตัวโค้ชชี่เอง

Motivation การจูงใจและการกระตุ้น
เป็นการกระตุ้นให้ ผู้ถูกโค้ช/โค้ชชี่ มีความเชื่อมั่นในตัวเอง กับการเผชิญอุปสรรคของการเปลี่ยนแปลงได้ดีขึ้น เพราะคนส่วนใหญ่กลัว และกังวลกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น เนื่องจากเป็นเหตุการณ์ในอนาคตที่มิอาจคาดเดาได้ ดังนั้น โค้ชควรเป็นกำลังใจและจูงใจให้ ผู้ถูกโค้ช/โค้ชชี่ มีมุมมองที่เป็นเชิงบวก และคิดถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นในด้านที่ดี และเป็นประโยชน์ต่อผู้ถูกโค้ช/โค้ชชี่ มากกว่าข้อเสีย จะทำให้ ผู้ถูกโค้ช/โค้ชชี่ พร้อมและเต็มใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองมากขึ้น

Goal Setting การกำหนดเป้าหมายร่วมกัน
กระบวนการโค้ชชิ่งก็เหมือนกับกระบวนการอื่นๆที่ควรมีการวัดผลด้วย เพื่อติดตามว่าผู้ถูกโค้ช/โค้ชชิ่ง มีการเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่อย่างไร โดยควรมีการตั้งเป้าหมายและมีกระบวนการติดตามผล โดยเป้าหมายที่ตั้งนั้น ผู้ถูกโค้ช/โค้ชชี่ ต้องยอมรับและเต็มใจ หลังจากนั้นจึงใช้กระบวนการติดตามผล เพื่อดูการเปลี่ยนแปลง โดยในการติดตามผลควรมีการพูดคุยหรือโค้ช เป็นระยะๆ เพื่อจะได้ติดตามว่าสิ่งที่ทำยังอยู่ในแนวทางหรือเป้าหมายที่กำหนดหรือไม่ และจะได้ปรับเปลี่ยนได้ รวมถึงผู้ถูกโค้ช/โค้ชชี่ จะได้รู้สึกว่ามีที่ปรึกษา สร้างความมั่นใจว่าสามารถทำให้สำเร็จได้
จากที่ได้กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นว่า บทบาทการเป็นโค้ชนั้น เปรียบเสมือน
  • กระจกเงา สะท้อนให้ผู้ถูกโค้ช/โค้ชชี่ มองเห็นตนเองชัดขึ้น, เข้าใจตนเองมากขึ้น
  • กุญแจ เพราะบางอย่างผู้ถูกโค้ชฝโค้ชชี้ ก็ไม่รู้มาก่อน ต้องให้โค้ชไขประตูเข้าไป จึงจะพบขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ภายในตนเอง, ความสามารถบางอย่างที่ซ้อนเร้นอยู่
  • คุณครู เพราะเป็นผู้ที่ให้แนวคิด ประสบการณ์ ทำให้ ผู้ถูกโค้ช มองเห็นภาพ สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางได้
  • นักกายภาพบำบัด เพราะเป็นผู้ที่คอยกระตุ้น ให้กำลังใจ ว่าเราต้องทำได้ ทำให้เกิดกำลังใจ และเกิดพลังใจ

ตอนนี้ทุกท่านคงเห็นประโยชน์ของการใช้วิธีการโค้ช ในการนำมาขับเคลื่อนผลงานของทีม หัวหน้างานสมัยใหม่ก็สามารถนำวิธีการโค้ชนี้ ไปใช้ในการทำงานได้ ทักษะการเป็นโค้ช ไม่ได้ยากอย่างที่คิด หากแต่ต้องมีความรู้ ความเข้าใจ และนำไปฝึกปฏิบัติ ให้เกิดความชำนาญ

บริษัทไอโปร เทรนนิ่ง มีหลักสูตรที่น่าสนใจ
“หัวหน้างานยุคใหม่ สื่อสารด้วยภาษาโค้ช”
ซึ่งจะทำให้ท่านสามารถเป็นหัวหน้างานที่
สื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากท่านต้องการ