วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2559

ผู้นำที่ดีควรมีลักษณะอย่างไร?


1.   การเป็นผู้รู้จักตนเอง(Self realization)
- รู้ถึงความต้องการแห่งตน
- รู้ถึงวิธีการสร้างเป้าหมายแห่งตนไม่ว่าในชีวิตส่วนตัว หรืองาน
- รู้ถึงขีดความสามารถแห่งตนที่จะกระทำการใดๆ ได้เพียงใด
- รู้ถึงวิธีการควบคุมตนเองการมีวินัยในการใช้ชีวิต และการทำงาน
- รู้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่มีผลต่อตนและการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงนั้น
- รู้ว่าตนจะต้องลงทุนอะไรเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งต้องการ
- รู้สึกได้ถึงความสุขความทุกข์ ที่สัมผัสได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องมีผู้ใดมาชี้นำ
- ยอมรับความจริงได้ทุกอย่างไม่หลอกตัวเอง

2.   การเป็นผู้รู้จักการวิเคราะห์หาเหตุและผล (Analytical Mind)
- มองทุกสิ่งที่ปรากฏต่อหน้า(Appearance)อย่างลึกซึ้งคิดถึงที่ไป ที่มา ไม่ใช่แค่ที่เห็น
- มองทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นลึกถึงเหตุปัจจัย (Cause)และสามารถคาดคะเนผลที่เกิดตามมา (Consequence) ในปัจจุบันและในอนาคตได้
- เป็นผู้ที่ตั้งคำถามตลอดเวลา"ใคร(Who)?ทำอะไร(What)? ที่ไหน(Where)? เมื่อไร(When)?
ทำไม(Why) อย่างไร(HOW)?" (5-W 1H)
- เข้าใจถึงหลักการ "อริยสัจ" ของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างดี
- เป็นผู้ที่ช่างสังเกตให้ความสนใจในรายละเอียดเพื่อเก็บมาเป็นข้อมูล
- มองพฤติกรรมบุคคล(Person)เหตุการณ์ (Event) สามารถโยงถึง หลักการ (Principle) ได้ และ ใช้หลักการ (Principle)สร้างวิธีการปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหา และป้องกันปัญหา เพื่อให้เกิดเหตุการณ์ (Event) ที่ต้องการ และ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของบุคคล (Person) ให้อยู่ภายไต้การควบคุมได้

3.   การเป็นผู้เรียนรู้ตลอดกาล (Life Long Learning)
- มีความรู้สึกว่าตนไม่รู้อะไรอีกมากและตระหนักถึงความเป็นผู้ใฝ่รู้ตลอดเวลา
- เข้าใจดีกับการเปลี่ยนแปลงของโลกทำให้สิ่งที่เคยรู้เมื่อวันวานอาจไม่ใช่ในวันนี้อีกต่อไป
- มองเห็นสิ่งของ ผู้คน เหตุการณ์ เป็นสื่อสอนตนได้ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งดี หรือสิ่งเลว และสามารถเลือกเก็บมาจดจำและหยิบออกมาใช้ได้อย่าง เหมาะสม
- ใฝ่ค้นหาติดตาม ความรู้ทุกเรื่อง โดยเฉพาะเกี่ยวข้องกับวิชาชีพ และการดำรงชีวิต
- มุ่งเรียนรู้อย่างลึกซึ้งและจริงจังให้เป็นผู้รู้และเข้าใจในแต่ละเรื่องอย่างแท้จริง
- สามารถนำองค์ความรู้ที่มีอยู่มาใช้ประโยชน์ได้อย่างถูกต้องถูกเวลา และเหมาะสม
- การเรียนรู้มี2 อย่างเรียนรู้ในสิ่งที่ยังไม่รู้และเรียนรู้สิ่งที่เรารู้ให้รู้มากขึ้น
- นักปราชญ์บอกไว้ว่าความรู้ที่แท้จริง คือการ "รู้ว่าเรารู้อะไร" และ"รู้ว่าเราไม่รู้อะไร" เพราะมันเป็นจุดเริ่มต้นให้ค้นหาความรู้ใหม่ๆอยู่เสมอ
- กระบวนการเรียนรู้ของบุคคลเริ่มจาก ความปรารถนาของตน (PersonalVision) ถูกตั้งไว้ และกำหนดเป็นเป้าหมายใน
ขั้นตอนของชีวิต เรียนรู้รูปแบบ ความคิดแห่งตนและผู้อื่น (MentalModel) อย่างเข้าใจ
ให้ความสำคัญกับ การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกัน (Sharedvision) อย่างเปิดใจกว้าง และรับฟัง
ร่วมแรงร่วมใจทำงานเพื่อมุ่งสู่ความสำเร็จร่วมกัน (TeamLlearning)
รู้จักการคิดเชิงระบบ (System thinking)มีทักษะการวิเคราะห์ มองเหตุผล และมองเห็น คาดการณ์ ผลลัพธ์ในอนาคตได้และสามารถสังเคราะห์กระบวนการที่สามารถนำไป สู่ความสำเร็จที่ต้องการ ได้
- ความรู้ดังกล่าวของบุคคลในกลุ่มที่อยู่ร่วมกันสามารถ นำไปสู่ความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization) และสังคมแห่งการเรียนรู้ (LearningSociety) ได้ในที่สุด อันเป็น สิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในสังคมโลกยุคใหม่(New Society) ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง รวดเร็วและไม่สิ้นสุด

4.   ความเข้าใจในจิตวิทยาการบริหาร
ในการบริหารงานคงจะไม่ผิดนักหากจะพูดว่าพูด "คือการบริหารคน" นั่นเอง เพราะ คนเป็นผู้กำหนด วิธีการหรือระบบ (System) การได้มาและการบริหาร การใช้ไปของทรัพยากร (Resource Management) เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด และผลสำเร็จของงานการที่จะบริการคนซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่ มีอารมณ์ และการแสดงออกที่ซับซ้อนไม่ตรงไปตรงมา และมักมี "เป้าหมายซ่อนเร้นแห่งตน (Hidden Agenda)" อยู่ภายในเสมอ ทำให้การบริหารยาก และไม่อาจ กำหนดผลลัพธ์อย่างตรงไปตรงมา ได้ ผู้นำที่เข้าใจจิตใจ ของมนุษย์หากสามารถวิเคราะห์ผลกระทบของเหตุการณ์ต่อจิตใจของคนได้ ก็จะสามารถคาดเดา พฤติกรรมแสดงออกของคนคนนั้นได้ไม่อยากและสามารถที่จะสร้างสถานการณ์รองรับไว้ล่วงหน้าเพื่อป้องกัน ผลเสียหายจากปฏิกริยาตอบโต้ของคนได้

5.   การเป็นคนดี "GoodPerson"
คนเก่งและคนดีเป็นของคู่กัน แต่บางครั้งไม่ไปด้วยกัน "คนเก่ง"สร้างได้ตั้งแต่เด็กจนกระทั่งแก่เฒ่า โดยการเรียนรู้ทุ่มเท แต่ "คนดี"สร้างได้ยากกว่า นักจนบางครั้งก็สร้างไม่ได้เลย คนเรามีการพัฒนา Super ego ซึ่งได้แก่ มโนธรรมและอุดมคติแห่งตนในช่วงวัยเด็ก 5-10 ขวบจากนั้นสิ่งที่ได้รับ มาจะกลายเป็น โครงสร้างพฤติกรรม ของคนๆ นั้น(Frame ofReference)เขาจะใช้มัน ปรับให้เข้า กับสิ่งแวดล้อม ที่สัมผัสโดยใช้กระบวนการ ที่ซับซอ้นมากขึ้น การเป็นคนดีจะต้องมี การพัฒนาส่วนของ Super egoของคนๆนั้น มาแล้ว เป็นอย่างดีโดย พ่อแม่ครูอาจารย์ ในช่วงปฐมวัยเมื่อเติบใหญ่ จะเป็นคนที่สามารถ ปรับสมดุล ในตนเองให้ได้ระหว่าง"กิเลส" จาก จิตเบื้องต่ำขับเคลื่อน ด้วย สัญชาติญาณแห่ง ความต้องการที่รุนแรงที่ไม่ต้องการเงื่อนไขและข้อจำกัดไดๆ กับ "มโนธรรม" ที่ขับเคลื่อนด้วยความปารถนา ในอุดมคติแห่งตนที่เต็มไปด้วยเงื่อนไขและข้อจำกัดคนดีควรมีคุณสมบัติดังนี้
- มีความรู้ไหวพริบ เฉลียวฉลาด (IQ= IntelligenceQuatient) รู้แจ้งถึงความดีความชั่ว รู้ที่จะเอาตัวรอดจากเล่ห์อุบายของตัณหา คนชั่ว และนำพาตนเองและผู้คนให้เห็นแจ้งในทางที่ดีควรประพฤติปฏิบัติได้
- มีความอดกลั้นสติตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งยั่วยุ (EQ= Emotional Quatient)จนตกอยู่ในห้วง"กิเลส" คือ โลภะ โทษะ และโมหะ และเกิดปัญญาในการแก้ไขสร้างสรรค์ และเล็งเห็น ผลเลิศในระยะยาวได้
- มีความอดทนมุ่งมั่น ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค (AQ= Adversity Quatient) พร้อมที่จะเสียสละแรงกายเพื่อให้ได้มาซึ่งอุดมคติแห่งตน และความดีที่ยึดมั่น ไม่หวั่นไหวต่อคงามลำบากและอุปสรรคไดๆ
- ไม่เป็นผู้ยึดติดกับสิ่งไดสิ่งหนึ่งจนเกินพอดี(VQ= Void Quatient)รู้ที่จะ ปรับเปลี่ยน ตนเอง ตลอดเวลาให้สอดคล้องกับสภาวะการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาอย่างเหมาะสม
- ป็นผู้มีศีลธรรมคุณธรรม และจริยธรรม (MQ= MoralQuatient) มีสำนึกของ "ความผิดชอบชั่วดี"มีความละอายใจต่อบาป ไม่ประพฤติชั่ว มุ่งทำแต่ความดี มีจิตใจที่ผ่องใส

ขอบคุณแหล่งที่มา :www.novabizz.comแหล่งที่มารูปภาพ : www.oknation.net

บริษัท ไอโปร เทรนนิ่ง จำกัด
สนใจจัดอบบรมสัมมนา
แบบ In-house/Public
Tel.089-926-5550
www.ipro-training.com


วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2559

ติดต่อประสานงานยังไงให้ประสบความสำเร็จในปี 2016

communication-skill
การมีทักษะในการสื่อสารที่ดีนั้นย่อมนำพามาสู่ความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการติดต่อกับผู้คนเพื่อสร้างความสัมพันธ์ และพันธมิตร หรือการติดต่อธุรกิจต่างๆ คนที่ “รู้จัก” วิธีการสื่อสารที่ดี ย่อมส่งผลให้คู่สนทนาให้ความเชื่อถือและยินดีที่จะร่วมโครงการหรือติดต่อธุรกิจกับเรา
ในทางตรงกันข้ามหากเรามีทักษะการสื่อสารที่ไม่ดี หรือไม่รู้วิธีการสื่อสารที่ถูกต้อง ไม่สามารถทำให้คู่สนทนาเข้าใจในสิ่งที่เรากำลังสื่อสาร อาจทำให้เกิดการเข้าใจที่ผิด การติดต่องานหรือธุรกิจของเราก็ย่อมไม่มีประสิทธิภาพ หรืออาจส่งผลจนทำให้การติดต่อสื่อสารของเราไม่ประสบความสำเร็จเลยก็ได้
การสื่อสารเป็นกระบวนการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างบุคคลและกลุ่มบุคคล ดังนั้นในการติดต่อประสานงานให้ประสบความสำเร็จได้นั้น ผู้ติดต่อสื่อสารจำเป็นต้องมีทักษะการสื่อสารที่ดี  ต้องใช้ประสบการณ์และความสามารถในการถ่ายทอดความคิด ข้อมูล และวัตถุประสงค์ ให้ผู้รับสารเข้าใจอย่างชัดเจน ดังนั้นการติดต่อประสานงานจะสำเร็จได้ด้วยการที่ผู้พูดและผู้ฟังมีความเข้าใจตรงกัน
ท่านผู้อ่านคงเห็นแล้วว่า การสื่อสารที่ผิดพลาดนั่นเป็นสิ่งที่น่ากลัวจริงๆ เพราะไม่เพียงแต่จะส่งผลเสียในการติดต่อธุรกิจ แต่มันยังส่งผลต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์และตัวของเราเองด้วย
วันนี้ตลาดปัญญาจึงมีเทคนิคที่จะช่วยให้เราได้มาซึ่งทักษะการสื่อสารที่ดีและเป็นมืออาชีพ มาเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับสมาชิกตลาดปัญญาทุกๆคน เพราะเราเชื่อว่าทักษะการสื่อสารที่ดีย่อมทำให้การติดต่อประสานงานของเรามีประสิทธิภาพ และประสบความสำเร็จในที่สุด มาเรียนรู้และเริ่มใช้เป็นกลยุทธ์การสื่อสารของปีนี้กันเลย

ขั้นตอนของการสร้างทักษะการสื่อสารที่ดี

1. รู้ว่าจะพูดอะไรและทำไม

ก่อนที่เราจะสื่อสารกับใคร เราต้องทำความเข้าใจถึงวัตถุประสงค์ และสิ่งที่เราต้องการสื่อสารอย่างชัดเจนเสียก่อน  เราต้องรู้ว่าเรากำลังสื่อสารกับใครและทำไม วิธีการที่จะช่วยให้การติดต่อประสานมีประสิทธิภาพก็คือการที่เราต้องทำความเข้าใจกับบุคคลที่เรากำลังสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็นในด้านของอายุ วัฒนธรรม แนวคิด เพศ  เราต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนเสมอว่า เรามีจุดประสงค์อะไรในการติดต่อกับคนนั้นๆ เพื่อขายโฆษณา เพื่อประสานงาน เพื่อเชิญมาร่วมโครงการ เมื่อเราตอบได้ เราจะรู้ว่าควรจะพูดอะไรกับผู้ที่เราไปติดต่อ

2. จะพูดได้อย่างไร

เมื่อเรารู้ว่าจะพูดอย่างไร สิ่งที่เราควรรู้ต่อมาก็คือควรพูดในสถานการณ์ไหน ต้องรู้จักการสบตากับคู่สนทนา เพราะการสบตาคู่สนทนาระหว่างพูดจะช่วยให้คู่สนทนาเห็นว่าเรามีความจริงใจ และมีความเชื่อมั่นในสิ่งที่เรากำลังนำเสนอ และอย่าลืมที่จะใช้ท่าทางประกอบการพูดให้เหมาะสมตามสถานการณ์ด้วยเช่นกัน รวมทั้งการพยักหน้าตอบรับ เพราะมันแสดงให้เห็นว่าเรามีความเต็มใจและสนใจคู่สนทนา ท่าทางที่ดีจะช่วยให้การสื่อสารของเราเป็นไปอย่างราบรื่น

3. สนทนาอย่างมีประสิทธิภาพ

การติดต่อประสานงานเป็นการสื่อสาร 2 ทาง หลังจากที่เราพูดจบแล้ว สิ่งต่อมาคือการหยุดแล้วสังเกตปฏิกิริยาของคู่สนทนาว่าเขารู้สึกอย่างไร และเข้าใจสิ่งที่เราสื่อสารว่าอย่างไร ในขณะที่คู่สนทนากำลังพูด ควรระมัดระวังการพูดที่จะเป็นการตัดบทสนทนา หรือไม่ใส่ใจฟังสิ่งที่พวกเขากำลังพูดอยู่  ควรตั้งใจฟังคู่สนทนาและเสนอไอเดียหรือความคิดเห็นของเราได้ตามความเหมาะสมเพื่อแสดงให้พวกเขาเห็นว่าเรามีความสนใจในสิ่งที่พวกเขากำลังพูด
หากการสนทนาติดต่อประสานงานจบสิ้นลงแล้ว อย่าลืมที่จะทบทวนว่าสิ่งที่เราสื่อสารนั้นถูกต้องตามที่เราต้องการนำเสนอหรือไม่ คู่สนทนาเข้าใจสิ่งที่เราได้คุยไปหรือไม่ โดยการเปิดโอกาสให้คู่สนทนาได้ถามคำถาม โดยไม่ควรถามเป็นคำถามปลายปิดที่ให้ตอบว่าใช่หรือไม่ใช่ แต่ให้ถามเป็นคำถามปลายเปิด เช่น คุณมีความคิดเห็นอย่างไร คุณมองว่าไอเดียนี้เป็นอย่างไรบ้าง เป็นต้น

4. ทิ้งท้ายและติดตามผล

วัตถุประสงค์หนึ่งของการติดต่อประสานงานส่วนใหญ่ก็คือ ต้องการให้คู่สนทนาตอบตกลงหรือคล้อยตามในสิ่งที่เรากำลังนำเสนอ แน่นอนว่าการตอบตกลงย่อมเป็นสิ่งที่เราต้องการ แต่ถ้าหากคู่สนทนายังไม่ได้ตัดสินใจในทันที อย่าลืมที่จะเสนออะไรบางอย่างหรือทิ้งท้ายให้พวกเขาได้นำเรื่องที่พูดคุยในวันนี้กลับไปคิด ไม่ว่าจะเป็นการบอกถึงผลประโยชน์ที่พวกเขาจะได้รับ โอกาสที่พวกเขาจะได้รับ หรือเสนอให้คู่สนทนารู้ว่าสิ่งที่เรานำเสนอหรือพูดคุยนั้นจะช่วยแก้ไขปัญหาที่พวกเขากำลังเจออยู่ได้อย่างไร สุดท้ายอย่าลืมที่จะขอติดตามผลการพูดคุยและแจ้งข้อมูลการติดต่อเราให้พวกเขาทราบ
แม้จะไม่มีอะไรที่สามารถการันตีได้ว่าการสื่อสารติดต่อประสานงานจะประสบความสำเร็จในทุกครั้ง แต่การเข้าใจคู่สนทนา ให้เกียรติคู่สนทนาย่อมทำให้ก่อเกิดมิตรภาพที่ดีระหว่างเรากับคู่สนทนา จนอาจส่งผลให้การติดต่อของเราประสบความสำเร็จในที่สุด
Liu-content

เทคนิคเพิ่มเติมเพื่อพัฒนาทักษะด้านการสื่อสาร

ฝึกฝนทักษะการฟังของเรา ด้วยการฟังอย่างตั้งใจและพยายามจับประเด็นจากการพูดให้ได้ รวมไปถึงเข้าใจสิ่งที่คู่สนทนาต้องการ การฟังเยอะ อ่านเยอะ สังเกตเยอะ จะช่วยให้เราสามารถพัฒนาทักษะทางการสื่อสารได้อย่างรวดเร็ว
เรียนรู้ที่จะเข้าใจผู้อื่น โดยการเปิดใจให้กว้างและรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นอยู่เสมอ นักสื่อสารที่ดีคือผู้ที่สามารถสร้างจุดร่วมระหว่างความแตกต่างได้ ส่วนนักการสื่อสารที่ไม่ดีคือผู้ที่ยัดเยียดความคิดของตัวเองให้ผู้อื่นแต่เพียงฝ่ายเดียว
ระมัดระวังที่จะพูดในเรื่องที่กระทบกระเทือนจิตใจของคู่สนทนา เพราะหากเราผู้อะไรที่ทำให้คู่สนทนาเกิดความไม่พอใจ นั่นย่อมส่งผลให้การติดต่อประสานงานครั้งนี้ของเราไม่ประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน
เข้าร่วมอบรมหรืองานสัมมนาที่จะช่วยให้คุณพัฒนาทักษะในด้านการสื่อสาร หรือแม้แต่การร่วมกิจกรรมต่างๆในสังคมหรือชุมชนอยู่เสมอ เพราะการพบปะผู้คนบ่อยๆ  จะช่วยให้เรามีทักษะและประสบการณ์ในการสื่อสารมากยิ่งขึ้น
เมื่อเราสละเวลาให้กับการฝึกฝนตามวิธีการเหล่านี้ มันจะเป็นการเปิดโอกาสให้เรากลายเป็นนักสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ สามารถประสานงานและสร้างความสัมพันธ์ทั้งกับคนในองค์กรและคนนอกองค์กร คู่ค้า และผู้ร่วมธุรกิจหรือแม้แต่ลูกค้าของเรา นอกจากนั้นการที่เรามีทักษะการสื่อสารที่ดียังช่วยให้เรามีความพัฒนามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในด้านหน้าที่การงาน หรือแม้แต่สร้างความน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์ที่ดีให้กับตัวของเราเอง

ขอขอบคุณแหล่งที่มาโดย:

เส้นด้าย สีรุ้ง – ทีมงานตลาดปัญญา

บริษัท ไอโปร เทรนนิ่ง จำกัด
สนใจจัดอบบรมสัมมนา 
แบบ In-house/Public
Tel.089-926-5550

วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2559

นางเอกและนางร้ายประจำออฟฟิศ

       
  ในโลกนี้มีคนอยู่รวมกันหลากหลายประเภท ต่างคนต่างอุปนิสัย ในองค์กรก็เช่นกัน ยิ่งเป็นองค์กรใหญ่และมีคนจำนวนมากรวมอยู่ด้วยกันแล้ว ยิ่งมีความหลายหลายทางพฤติกรรมและการแสดงออก ซึ่งถือเป็นจุดกำเนิดของปัญหาต่างๆ ที่อาจมากขึ้นทวีคูณ และเมื่อพูดถึงความหลากหลายทางพฤติกรรมแล้วคงหนีไม่พ้นปัญหาที่เกิดจากความไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน และยังมีปัญหาด้านภาษาและวัฒนธรรมอื่นๆ ยิ่งถือเป็นอุปสรรคในการทำงานที่สามารถก่อความวุ่นวายได้ไม่น้อย

          เรื่องนางเอก นางร้ายประจำออฟฟิศ ก็เป็นอีกหนึ่งในหัวข้อชวนหัวประจำชาวออฟฟิศ แต่อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่า จะใช้วิธีการแสดงออกของแต่ละคนมาตัดสินความเป็นนางเอกหรือนางร้ายเพียงอย่างเดียวได้ เพราะหลายต่อหลายครั้งที่การแสดงออกของคนอาจทำให้เราอ่านคนๆ นั้นจากผิดเป็นถูก หรือถูกเป็นผิดได้ เพราะคนส่วนใหญ่มักมองคนอย่างหลวมๆ เพียงด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น ทำให้อาจสับสนระหว่างพฤติกรรม เจตนา และ การแสดงออกของคนๆ นั้นได้ วันนี้ jobsDB ขอเสนอมุมมองในการเลือกพิจารณาอุปนิสัยระหว่างนางเอกและนางร้ายในองค์กรคร่าว ๆ ดังนี้

1.   นางร้ายที่มีพฤติกรรมร้าย เจตนาร้าย การแสดงออกร้าย นางร้ายประเภทนี้จัดอยู่ในหมวด คนที่แรงจัด ชัดเจน ชนิดที่เรียกว่าร้ายให้โลกรู้ ถ้าเจอคนแบบนี้ ก็ถือว่าคุณโชคดีมาก เพราะคุณจะได้สัมผัสรัศมีความร้ายกาจของหล่อนได้ในทันที ซึ่งจะทำให้คุณเข้าใจและเห็นพฤติกรรมของเจ้าหล่อนอย่างแจ่มชัด ไม่ต้องรู้สึกสับสนเลยว่า หล่อนร้าย หรือดี หากเจอเมื่อไหร่ ก็สามารถกระโจนหนีได้ทันที เพราะหากไม่หนีอาจต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ทำให้เจ็บหนักแน่นอน

2.   นางร้ายที่หวังดีแม้มีพฤติกรรมร้าย การแสดงออกร้าย แต่แฝงไปด้วยเจตนาดี นางร้ายประเภทนี้แม้ภายนอกจะดูร้าย แต่ถ้าคบไปนานๆ อาจไม่เป็นอย่างที่คิด ต้องลองคุยด้วยบ่อย ๆ ถ้าดูแล้วเจ้าหล่อนแค่ปากร้าย แต่มีเจตนาที่แสนดี ถือว่าเป็นโชคดีของคุณที่ได้รู้จัก เพราะนอกจากจะไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อสังคมแล้ว หล่อนมักมีมุมตลกและช่วยสร้างสีสันให้ออฟฟิศได้เสมอ ฉะนั้นเวลาเจอคนประเภทนี้ อย่าเพิ่งรีบด่วนตัดสินว่าหล่อนเป็นคนไม่ดีตั้งแต่แรกเห็น เพราะคุณอาจเสียคนดีๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตไปก็เป็นได้

3.  นางร้ายกาจที่มีพฤติกรรมร้าย แม้จะแสดงออกดี แต่เจตนาที่แท้จริงนั้นจัดว่าน่ากลัวคนประเภทนี้ดูเผินๆ อาจดูไม่ออกว่าร้ายหรือไม่ เพราะถึงแม้คาแรคเตอร์ร้าย แต่อาจเป็นคนพูดจาอ่อนหวานกลบเกลื่อนได้ดี จึงควรมองที่เจตนาก่อนเป็นสำคัญ เพราะคนบางคนอ่านยากจริงๆ กว่าเราจะแยกออกว่าแบบนี้มาดีหรือมาร้าย เรามักจะผ่านการถูกทำร้ายจากคนประเภทนี้ไปก่อนอย่างน้อยหนึ่งครั้ง จากนั้นเราจะตัดสินใจได้ทันที ว่าหล่อนผู้นี้แหละที่ “ร้ายลึก”

4.   นางฟ้าที่มีพฤติกรรมเป็นแม่พระของสังคม เจตนาดี การแสดงออกดีคนประเภทนี้มักจัดอยู่ในหมวดนางฟ้า นางสวรรค์ ทำอะไรก็ดีไปหมด ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา กิริยา วาจา หรือแม้แต่เจตนา ในปัจจุบันอาจโดนมองว่าเป็นคนโลกสวย ถ้าใครเจอละก็ รีบไปคบหาเธอผู้นี้โดยไว รับรองคุณจะสบายอกสบายใจว่าได้มีเพื่อนร่วมงานดีๆ แต่ขอบอกก่อนว่านางฟ้าแบบนี้หาได้ยากมาก และคุณอาจต้องออกตัวแรงเพื่อปกป้องเธอเป็นบางเวลาเสียด้วย เพราะเธออาจแสนดีจนโดนเหล่านางร้ายประจำออฟฟิศกลั่นแกล้งก็เป็นได้

5.   นางฟ้าบ้าบิ่นแม้จะมีพฤติกรรมเป็นนางฟ้า แฝงด้วยเจตนาดี แต่การแสดงออกช่างขัดแย้งเสียจริง คนประเภทนี้มักจัดอยู่ในกลุ่มพวกสวยผ่าซาก แม้จะมีหน้าตาสวย เจตนาดี แต่อาจพูดจาออกแนวห้าวๆ แต่ก็ถือว่าน่าคบหาไม่น้อย เพราะน่าจะรับบทปลอบใจได้ดีเวลาที่เรารู้สึกต้องการที่ปรึกษาหรือคนรับฟัง ที่สำคัญคนประเภทนี้มักจะสร้างสีสันในออฟฟิศได้ไม่น้อย จึงมักจะเป็นที่รักของคนในออฟฟิศ และมักจะเปล่งประกายในสายตาหนุ่มๆ อีกด้วย

6.  นางฟ้าตบตา คนที่มีพฤติกรรมเป็นนางฟ้า การแสดงออกดี แต่แฝงด้วยเจตนาร้ายสุดคนประเภทนี้ น่ากลัวมากไม่ต่างอะไรกับคนที่ร้ายกาจทั้งเจตนาและการกระทำตามที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น และที่น่ากลัวไปกว่านั้นคือ คนทั่วไปจะโดนเจ้าหล่อนปั่นหัวเสียจนมองไม่ออกเลยว่าหล่อนเป็นเจ้าแม่แอ็บแบ๊วที่ลึกๆ แล้วร้ายสุดขั้ว คนแบบนี้ควรหนีให้ไกลที่สุด และจะโชคดีมากถ้าคุณสามารถสัมผัสได้ถึงความร้ายกาจตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้สัมผัส มิเช่นนั้นคุณอาจตกเป็นเหยื่อที่โดนหลอกล่อ และแทงข้างหลังอยู่นานสองนาน ซึ่งคนที่มีพฤติกรรมเช่นนี้ถือว่าเป็นคนที่น่ากลัวที่สุด!!

          จะเห็นได้ว่า แม้จะมีความพยายามแบ่งกลุ่มคนออกตามประเภทต่างๆ ตามข้างต้นแล้ว ก็ยังไม่สามารถจำแนกคนที่สามารถพบเจอในองค์กรไว้ได้ทั้งหมด เพราะแต่ละคนต่างมีอุปนิสัย และการแสดงออกที่แตกต่างกันไป และการพยายามทำให้คนใดคนหนึ่งเปลี่ยนแปลงความเป็นตัวเองนั้นก็เป็นเรื่องยากเช่นกัน ดังนั้นการเรียนรู้อุปนิสัยคน การอ่านพฤติกรรมของคนให้แตก จึงเป็นสิ่งที่ควรศึกษาและนำมาใช้ในชีวิตการทำงานให้เกิดประโยชน์กับตนเองที่สุด เพื่อเป็นการป้องกันตัวเองจากผู้ที่ประสงค์ร้ายอีกทางหนึ่งด้วย

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : PrThai.com

บริษัท ไอโปร เทรนนิ่ง จำกัด
สนใจจัดอบบรมสัมมนา 
แบบ In-house/Public
Tel.089-926-5550

วันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2559

5 ขั้นตอนปรับ Mindset เพื่อพัฒนาวิธีการทำงาน

หลายคนคงจะเคยได้ยินคำว่า Mindset มาบ้าง เพราะเป็นคำศัพท์ที่นำมาใช้กันบ่อยขึ้นในแง่วิธีการสร้างแรงจูงใจและวิธีพัฒนาตนเอง โดยคำว่า Mindset นี้ศูนย์จิตวิทยาการศึกษา มูลนิธิยุวสถิรคุณ ให้คำนิยามไว้ว่า Mindset หรือ “กรอบความคิด” ในบางตำราอาจใช้คำว่า โปรแกรมความคิด หรือกระบวนการทางความคิด สิ่งสำคัญคือ Mindset นั้นมีความหมายลึกซึ้งกว่าคำว่า “ความเชื่อ (belief)” ทั่วๆ ไป เพราะ Mindset คือ “ความเชื่อที่มีผลต่อพฤติกรรม”
จากงานวิจัยของนักจิตวิทยาที่ชื่อว่า Carol Dweck พบว่าคนที่ประสบความสำเร็จนั้นจะมี Mindset คนละแบบกับคนทั่วไป โดยคนที่ประสบความสำเร็จนั้นจะมี Mindset แบบ Growth Mindset (กรอบแนวคิดแบบเปิดกว้าง) พวกเขาเชื่อว่าตัวเองสามารถพัฒนาในทักษะต่างๆ ที่ตัวเองบกพร่องได้ ในขณะที่คนทั่วไปกลับมี Mindset แบบ Fixed Mindset (กรอบความคิดแบบปิดตาย) โดยมีความเชื่อว่าคนเรามีทักษะที่จำกัด ไม่สามารถที่จะพัฒนาขึ้นได้แล้ว
จริงๆ แล้วจะมี Mindset แบบไหนก็ไม่ใช่เรื่องผิด เพราะความต้องการพื้นฐานของมนุษย์เราคือต้องการความปลอดภัย จึงเป็นเรื่องธรรมชาติที่เราจะอยากอยู่ในที่ที่เคยชิน ไม่อยากจะเสี่ยง แต่สำหรับคนทำงานแล้วการมี Growth Mindset ก็จะทำให้เรามีแนวโน้มที่จะหาวิธีพัฒนาตนเองได้ดีขึ้นนั่นเอง JobThai.com จึงอยากให้ลองมาตรวจสอบตนเองดูว่าเรามี Mindset แบบไหน แล้วถ้าเกิดเราอยากจะพัฒนา Mindset ของเรา จะมีวิธีการอย่างไรได้บ้าง
1. ฟังเสียง Mindset
ขั้นตอนแรกของการปรับ Mindset ก็คือ เราต้องรู้ก่อนว่า Mindset ของเรานั้นเป็นแบบไหน ลองคิดดูว่าถ้า Mindset เป็นคนคนหนึ่งที่อยู่ในหัวของเรา เขาจะพูดกับเราอย่างไร ถ้าต้องเผชิญกับงานใหม่ที่ท้าทาย Mindset จะพูดกับเราว่า “จะทำได้เหรอ” “เก่งพอหรือเปล่า” “ถ้าพลาดนี่น่าอายนะ” คอยสังเกตและฟังเสียงต่างๆ ในหัวให้ดีถ้าคำพูดในหัวออกมาในทำนองนี้บ่อยๆ ก็มีแนวโน้มว่าจะเป็นคนที่มี Fixed Mindset ซึ่งจะทำให้ไม่กล้าพัฒนาตนเอง และมันอาจทำให้อาชีพการงานถึงทางตันได้ง่ายๆ เลย
2. เลือกที่จะฟัง Growth Mindset
เมื่อเรารู้แล้วว่า Mindset ของเราเป็นอย่างไร ขั้นตอนต่อมาคือ หาสาเหตุให้ได้ว่าสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองเมื่อต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ท้าทายต่างๆ ถ้าหาพบแล้วก็ขึ้นอยู่กับการตีความของเราแล้วว่า เราจะมองสิ่งนั้นเป็นอุปสรรคที่จะทำให้เราพลาดท่าต้องหลีกเลี่ยง หรือมองเป็นโอกาสที่ทำให้เราได้พัฒนาตนเองให้มีทักษะใหม่ๆ ถ้าเราเลือกอย่างแรกนั่นคือเราใช้ Fixed Mindset แต่ถ้าเราเลือกอย่างหลังเรากำลังก้าวเข้าสู่การใช้ Growth Mindset แล้ว
3. เถียงกลับ
Mindset เป็นสิ่งที่ติดตัวเรามานาน การจะปรับเปลี่ยนให้ได้ในความพยายามครั้งแรกนั้นเป็นไปยากมาก Fixed Mindset ที่อยู่ในหัวเราจะคอยมาพูดกับเราตลอดเวลา วิธีการจัดการก็คือการเถียงกลับไป เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ท้าทาย Fixed Mindset จะส่งเสียงมาหาเรา ให้เราตอบกลับเสียงนั้นไปด้วย Growth Mindset เช่น
  • Fixed Mindset ในหัวบอกว่า: แน่ใจเหรอว่าจะทำงานนี้ได้ บางทีความสามารถของเราไม่น่าจะถึงหรือเปล่า
  • Growth Mindset ตอบกลับไปว่า: ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะทำได้ไหม แต่ถ้าเราพยายามก็น่าจะเรียนรู้ได้นะ
  • Fixed Mindset ในหัวบอกว่า: ถ้าพลาดล่ะ น่าอายนะ
  • Growth Mindset ตอบกลับ: ไม่มีใครไม่เคยทำพลาด เราเรียนรู้จากมันได้
4. ลงมือทำ
เป้าหมายสำคัญของการเปลี่ยน Mindset ไม่ใช่แค่ให้เราเปลี่ยนความคิดแต่ต้องส่งผลถึงพฤติกรรมด้วย สิ่งที่ทำให้เราติดอยู่กับ Fixed Mindset เป็นเพราะว่าความไม่กล้าที่จะออกจาก Comfort Zone เมื่อเราเปลี่ยนเสียงของ Growth Mindset ให้เป็นพฤติกรรมได้ เรารู้สาเหตุว่าอะไรที่เราบกพร่องทำให้เราไม่มั่นใจ เราก็หาวิธีฝึกฝนในเรื่องนั้นๆ เราก็จะสามารถขยาย Comfort Zone ของเราออกไปได้ ความสามารถในการพัฒนาตนเองเราก็จะมีมากขึ้นตามไปด้วย
5. ยังทำไม่ได้ ไม่ใช่ "ทำไม่ได้"
ในหลายเรื่องเราก็ต้องยอมรับว่า แค่คิดแล้วลงมือทำเลยนั้นอาจจะยังไม่ประสบผลสำเร็จได้ทันทีอย่างที่คิด เมื่อทำแล้วผิดพลาดอาจจะยิ่งตอกย้ำแล้วพาเรากลับไปอยู่ Fixed Mindset อีกครั้ง สิ่งที่เราจะทำได้เมื่อการเปลี่ยนแปลงของเรายังไม่ประสบผลสำเร็จก็คือ บอกตัวเองว่าคุณสมบัติในตอนนั้นของเรายังไม่ถึง ยังทำไม่ได้ เราแค่ยังทำไม่ได้ไม่ใช่ว่าเราทำมันไม่ได้เลยการเติมคำว่ายังเข้าไป Fixed Mindset จะช่วยเปลี่ยน Mindset ของเราให้กลายเป็น Growth Mindset ได้ ตัวอย่างเช่น เราทำไม่ได้ จะทำให้เราหยุดพัฒนาตนเองเป็น Fixed Mindset แต่ถ้าเราพูดว่าตอนนี้ยังทำไมได้ โดยนัยของมันแล้วหมายความว่ามันจะมีโอกาสทำได้ในอนาคต นั่นคือ Growth Mindset นั่นเอง
ขอบคุณแหล่งที่มา:

บริษัท ไอโปร เทรนนิ่ง จำกัด
สนใจจัดอบบรมสัมมนา 
แบบ In-house/Public
Tel.089-926-5550

วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2559

โพสต์อะไรดี..ไม่สำคัญ แต่ 9 อย่างนี้ไม่ควรโพสต์ในเฟสบุ๊ค ไม่งั้น..งานเข้า

โพสต์อะไรดี สิ่งที่ควรโพสต์ สิ่งที่ไม่ควรโพสต์
หลายท่านเคยมาถามผมว่า ทำแฟนเพจเพื่อแนะนำ และขยายธุรกิจ ควรจะโพสต์อะไรดี ผมก็ได้เคยแนะนำไปแล้วทั้งแบบส่วนตัว และในข้อเขียนในที่ต่างๆ แต่ก็ลืมนึกไปว่า ถ้าคิดกลับกัน มันมีอะไรหลายอย่างที่เราไม่ควรโพสต์ใน Facebook เพราะนอกจากจะไม่ช่วยอะไรในเรื่องธุรกิจแล้ว เผลอๆ ยังเป็นภัยกลับมาหาเรา ทั้งในแง่ส่วนตัวและ/หรือส่งผลร้ายต่อธุรกิจเราอีกด้วย
อ้อ.. นอกจากจะพูดถึงการโพสต์แล้ว ผมยังหมายรวมถึงการใส่ข้อมูลใน Personal Profile ด้วยนะครับ

นี่คือ 9 เรื่องที่ไม่ควรโพสต์หรือใส่ข้อมูลในเฟสบุ๊คครับ

ใน Personal Profile

1. ที่อยู่ที่บ้าน – ท่านว่ามันควรใส่ไว้ไหมล่ะ ยกเว้นว่าท่านสามารถล๊อก Profile ไว้ไม่ให้ใครดูได้เลย มีแต่แมวเท่านั้นที่ดูได้ แต่ผมว่าถ้าท่านใส่ที่อยู่ที่บ้านไว้ใน Profile ละก็ คงมี “ตีนแมว” ไปเยี่ยมที่บ้านท่านซะแทนหละครับ
หลายท่านคงบอกว่า ไม่มีใครเค้าใส่กันหรอก จะบ้าหรือ อันนี้มันเรื่องพื้นๆ อยู่ในสามัญสำนึกของทุกคนอยู่แล้ว แต่เชื่อสิ..ผมเคยเห็นหลายท่าน “เช็คอิน” ตอนอยู่บ้านพอดี ซึ่งมันบอกตำแหน่งเป๊ะ (อันนี้ผมพูดถึง social media อื่นๆ พวกบริการ check-in ทั้งหลายนั่นแหละ) ซึ่งพวกหัวขโมยอาจจะ add friend ไปเรื่อย เสาะหาเป้าหมายที่ดูแล้วมีสตุ้งสตังค์ แล้วพอพวกมันติดตามเรา มันก็รู้ว่าบ้านเราอยู่ไหน ตอนไหนอยู่บ้าน ตอนไหนไม่อยู่บ้าน (ก็ชอบ check-in ที่โน่นที่นี่กันไง เป็นการบอกให้รู้ว่าฉันไม่อยู่บ้านนะจ๊ะ เชิญรื้อค้นตามสะดวกจ้่า)
2. ฉันกำลังจะไปเที่ยวหลายวัน – สมมุติว่าท่านจองทัวร์ไปเที่ยวฮ่องกงไว้ 3 วัน ด้วยความเห่อ..อยากให้เพื่อนๆ รู้ ด้วยความหวังดี..จะถามเพื่อนว่าฝากซื้อของอะไรไหม แต่ผมว่า..อันนี้ไม่น่าจะเป็นความคิดที่ดีนะครับ
เราทุกคนก็รู้ ว่าขโมยขโจรเดี๋ยวนี้ชาญฉลาดเหลือเกิด มิจฉาชีพก็มีทุกรูปแบบ และไฮเทคขึ้นทุกวัน แล้วพวกมันก็อาศัยสื่อพวกนี้แหละ (Social Media) คอยติดตามความเคลื่อนไหวท่านได้ทุกฝีก้าว แต่ถ้าท่านเถียงว่า อยู่ดีๆ มิจฉาชีพคนหนึ่งคงไม่มาเจอเราในจังหวะที่กำลังจะไปเที่ยวพอดีหรอก อ่านย่อหน้าถัดไปครับ…
หลายท่าน ตอนที่ไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ชอบถ่ายรูปสวยๆ วิวสวยๆ หรืออะไรก็ตามที่เป็นความประทับใจ แล้วก็โพสต์ใน Facebook, Instagram ฯลฯ ทันที พอเพื่อนๆ ของเราได้เห็น ใครชอบก็อาจจะส่งต่อ แชร์ Like อะไรก็ตาม ยิ่งถ้าเป็นรูปสวยๆ ด้วยก็ยิ่งกระจายกันเข้าไปใหญ่ อย่างนี้เข้าตาโจรเร็วขึ้นไหมครับ
สรุปว่า เป็นความผิดมหันต์..ที่โพสต์รูปขณะที่ท่านท่องเที่ยวอยู่ข้างนอกนั้น ที่ถูกแล้ว..รอให้กลับมาก่อนดีกว่า..ค่อยโพสต์ แล้วเรายังมีโอกาสจัดเรียง, ปรับแต่ง/ตกแต่งรูป ก่อนที่จะโพสต์ได้อีกด้วย
3. อะไรก็ตามเกี่ยวกับลูกๆ ของท่าน – ลูกใครใครก็รักและเห่อ (โดยเฉพาะเด็กเล็ก) เรามีความสุขทุกครั้งที่ได้เล่าเรื่องลูกของเรา (เรื่องอื่นด้วยแหละ) ให้คนอื่นฟัง แต่ที่ขึ้นหัวข้อนี้ ไม่ใช่ว่าไม่ให้โพสต์หรือพูดถึงเลย เพียงแต่ท่านต้องคิดให้รอบคอบก่อน
เพราะว่าพวกมิจฉาชีพ พวกขโมยเด็ก บางทีก็อาศัยสื่อ Social Media นี่แหละในการหาข้อมูล ดังนั้น เราไม่ควรโพสต์ชื่อ-นามสกุลจริงของลูกเรา ไม่ควรบอกว่าเขาเรียนโรงเรียนไหน ปรกติใครไปรับ ไปรับกี่โมง ชอบอะไร/ไม่ชอบอะไร ไว้ใจใคร
4. แผนผังบ้านท่าน – สมมุติว่าท่านซื้อหรือสร้างบ้านใหม่ อารามอยากอวดเพื่อน ก็เลยโพสต์ว่ามีห้องโน้นอยู่ทางนั้น ห้องนั้นอยู่ทางนี้
ผิดเลย!
นั่นจะทำให้ผู้ไม่หวังดีเขารู้หมดว่าท่านน่าจะเก็บอะไรไว้ที่ไหน ทีวี เครื่องเสียง แหวนเพชร ฯลฯ
5. จดหมายลูกโซ่ – อย่างข้างล่างนี่ ท่านคงเคยเห็น
“ตั้งแต่วันที่ 21 กุมภาพันธ์เป็นต้นไป Facebook จะเริ่มเก็บค่าบริการในการใช้งาน แต่ถ้าพวกเราผู้ใช้ทุกคนช่วยกันส่งข้อความนี้ต่อกันไปเรื่อยๆ โดยสื่อว่าเราไม่ต้องการจ่ายค่าบริการ แสดงถึงพลังของผู้ใช้และเป็นการแสดงความไม่เห็นด้วย Facebook ก็จะเปลี่ยนแปลงความตั้งใจ”
นอกจากคนส่วนใหญ่จะไม่เชื่อท่านแล้ว พวกเขายังอาจจะคิดว่าท่าน “ทำอะไรไม่ตรึกตรอง” ซะด้วย พูดง่ายๆ ว่า “ไม่รู้จักคิด” นั่นแหละ แล้วตัวท่านเองจะสูญเสียความน่าเชื่อถือไปจากเพื่อนๆ ทั้งหลายอย่างไม่รู้ตัว
ดังนั้น ก่อนจะโพสต์อะไร ควรใช้สามัญสำนึก ไตร่ตรองก่อน พระพุทธเจ้ายังสอนในกาลามสูตรว่าอย่าเชื่อเพราะได้ฟังมา นี่ก็เหมือนกัน
6. โพสต์บ่นเจ้านาย – ไม่ว่าท่านจะเบื่องาน เบื่อคน เบื่อเพื่อนร่วมงาน หรือเบื่อเจ้านาย อย่าให้อารมณ์ชั่ววูบนั้นทำให้ท่านลืมคิดไปว่าคนเหล่านั้นอาจจะเห็นโพสต์นี้ของท่านก็ได้
แม้ว่าท่านจะเถียงว่า “ก็อยากให้พวกมันเห็นนี่แหละ” แต่จำไว้อย่างว่า ท่านเอามันคืนกลับมาไม่ได้ คำพูดที่ออกจากปากไปแล้ว ท่านเอากลับมาไม่ได้ ถึงแม้จะลบโพสต์ของตัวเองได้ แต่ถ้ามีคนเห็นแล้ว ท่านเอามันกลับออกมาจากหัวเขาไม่ได้
ถ้าท่านเบื่อมาก ก็ลาออกซะ จะเดินข้ามสะพานไป ไม่ถึงกับต้องทุบสะพานทิ้งหรอก ใครจะไปรู้..วันหน้าวันหลังท่านอาจจำเป็นต้องเดินย้อนกลับมาทางนี้อีกก็ได้

ใน Fan Page ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ

7. เรื่องการเมืองและศาสนา – ไม่ต้องพูดถึง Social Media 2 หัวข้อนี้ก็เป็นเรื่องที่เขาไม่ค่อยสนับสนุนให้พูดกันเยอะอยู่แล้ว (โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่ไม่รู้จัก หรือรู้หน้าไม่รู้ใจ) หลายตำราบอกว่า ในงานเลี้ยง ถ้าไม่อยากให้งานกร่อย ก็อย่างพูด 2 เรื่องนี้
เพราะคนเรามีความคิดนานาจิตตัง มีความคิดเป็นของตัวเอง ซึ่งอาจไม่เหมือนเรา และที่แย่กว่านั้น..เขาเชื่อของเขาอย่างนั้นมากพอๆ กับที่เราเชื่อของเราอย่างนี้ด้วย ดังนั้น 2 เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ “เถียงไม่จบ” และแน่นอน..ถ้าท่านไม่อยากมีเพื่อนลดลงครึ่งหนึ่ง ก็อย่าแสดงจุดยืนให้มันเด่นชัดนัก ถ้าทำใจไม่ได้ ให้ลองคิดใหม่ว่า Social Media และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง Fan Page ที่ใช้สำหรับการโปรโมทธุรกิจไม่ใช่เวทีที่ท่านจะพูดเรื่องนี้
อย่าลืม เราใช้ Fan Page ในการสร้างแบรนด์ของตัวเราเอง ไม่ได้ใช้ในการสร้างแบรนด์ของคนอื่น (พรรคการเมือง)
8. โพสต์ขอร้องให้คน Like เพจตัวเอง – ผมว่ามันดูน่าสงสารหนะครับ ท่านเคยขอให้คนรักของท่าน “ช่วยรัก” ท่านหน่อยไหมครับ ท่านว่าเรื่องอย่างนี้มันทำได้ไหมครับ ถ้าทำได้ มันดูน่าสมเพชไหมครับ
อย่างไรก็ตาม ถ้าท่านมองว่าการมีคน Like เพจของท่านเยอะๆ เป็นกลยุทธ์ในการสร้างฐานเสียง/ฐานผู้มุ่งหวัง ก็ทำให้มันแนบเนียบหน่อย อย่างน้อยก็แลกเปลี่ยนกับ “คุณค่าดีๆ” ที่ท่านพร้อมจะมอบให้เขาถ้าเขา Like Page ของท่าน เช่น ชักชวนให้กด Like เพื่อรับของสมนาคุณ (เช่น e-Book, Report, สถิติ/ข้อมูลต่างๆ เป็นต้น) เหมือนกับจะบอกว่า ถ้าน้องแต่งงานกับพี่ พี่จะเลี้ยงดูน้องอย่างดีที่สุดจนวันตาย อย่างนี้ค่อยเป็นการร้องขอที่มีฟอร์มหน่อย..จริงไหมครับ
9. โพสต์รูปไร้สาระ – เรากำลังพูดถึง Facebook Fan Page กัน ซึ่งเราเอาไว้ใช้ Brand ตัวเอง หรือสร้างแบรนด์ให้สินค้าหรือธุรกิจของเรา ดังนั้น ทุกข้อความ รูปภาพ และวีดีโอ ต้องสอดคล้องและเสริมส่งเอกลักษณ์และตัวตนของแบรนด์ (Brand Identity) ที่เมื่อสื่อออกไปแล้ว ผู้อ่าน/ดู/ฟัง สามารถรับรู้ (percieve) ได้ เกิดการรับรู้ (Brand Perception) ตามภาพลักษณ์ (Brand Image) ที่เราอยากให้พวกเขารับรู้
หวังว่าคงเป็นสาระที่มีค่ากับหลายๆ ท่านนะครับ ถ้าท่านคิดว่าบทความนี้จะมีประโยชน์กับคนที่ท่านรัก ก็อย่าลืมแชร์ หรือ Retweet ให้พวกเขาด้วยครับ อ้อ..แล้วถ้ามีความคิดเห็นอะไรเพิ่มเติม ก็เขียนด้านล่างนี้ได้ตามสบายเลยครับ
แล้วพบกันใหม่ครับ

ขอบคุณแหล่งที่มา :
ธนกร – ผู้ก่อตั้งตลาดปัญญา
บริษัท ไอโปร เทรนนิ่ง จำกัด
สนใจจัดอบบรมสัมมนา
แบบ In-house/Public
Tel.089-926-5550
www.ipro-training.com